หลังมีกระแสข่าวความคลุมเครือตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ดูเหมือนภาพเส้นทางในอนาคตของบาร์เซโลนาจะเริ่มชัดเจนมากขึ้น เมื่อ โจน ลาปอร์ตา ประธานสโมสรคนใหม่ ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดที่จะให้โอกาส โรนัลด์ คูมัน โค้ชคนปัจจุบัน อยู่กับทีมต่อไป
โดยลาปอร์ตายืนยันอย่างเป็นทางการผ่านโซเชียลมีเดียของสโมสรว่า “หลังช่วงเวลาที่เราได้ขอเพื่อที่จะพิจารณาสิ่งต่างๆ เราตัดสินใจที่จะให้ โรนัลด์ คูมัน ได้ทำงานของเขาต่อไปในสัญญาฉบับปัจจุบัน เรามีความพอใจอย่างยิ่งกับการสนทนาที่ผ่านมา ซึ่งสำคัญอย่างมากในการที่เราจะได้รู้จักกันและกันมากขึ้น และมีการพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา”
ลาปอร์ตาเชื่อว่านี่คือ ‘ทางออกที่ดีที่สุด’ ไม่ว่าจะสำหรับฝ่ายบริหารของสโมสร สำหรับคูมัน และสำหรับบาร์เซโลนาเอง
ทำไมประธานสโมสรจึงเชื่อว่านี่เป็นทางออกที่ดีที่สุด? แม้ว่าผลงานในช่วงปลายฤดูกาลจะน่าผิดหวังก็ตาม เมื่อหลุดโค้งสุดท้ายในการลุ้นแชมป์อย่างน่าเศร้า โดยที่เหล่าบาร์เซโลนิสตาเองก็ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งโค้ช เพราะไม่เชื่อในฝีมือของคูมัน
และก่อนนี้ลาปอร์ตาเองก็มีการพูดถึงคูมันในทางที่ไม่สู้ดีนัก เพราะลงลึกถึงเรื่องของปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับโรคหัวใจที่โค้ชชาวดัตช์เผชิญอยู่ด้วย
เหตุผลขั้นต่ำที่สุดนั้น คูมันสามารถประคับประคองบาร์ซาในช่วงวิกฤตที่สุดได้ดีพอสมควร โดยเฉพาะในช่วงแรกของฤดูกาล 2020/21 ซึ่งทีมประสบปัญหาอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคุณภาพนักเตะที่ลดลงจากเดิมอย่างมาก ไปจนถึงเรื่องใหญ่ที่สุดอย่างกรณีปัญหากับ ลิโอเนล เมสซี กัปตันทีมผู้เป็นสัญลักษณ์ของสโมสรที่ต้องการจะย้ายออกจากทีม แต่ถูกขัดขวางจาก โจเซป มาเรีย บาร์โตเมว อดีตประธานสโมสร ทำให้ต้องจำใจอยู่กับทีมต่อ
คูมันยังพาทีมจบฤดูกาลด้วยการมีแชมป์ติดมือในรายการโคปา เดล เรย์ ได้ด้วย และให้โอกาสกับนักเตะอนาคตไกลหลายคนในทีมไม่ว่าจะเป็น ออสการ์ มิงเกวซา, อิลาอิกซ์ โมริบา, ริกิ พุจ, อันซู ฟาติ รวมถึงเปดรี ที่ซื้อตัวมาจากลาส พัลมาส ซึ่งเป็นแนวทางที่ลาปอร์ตาเชื่อมั่น
กับเมสซี แม้จะมีกระแสข่าวว่าทั้งสองไม่ได้ดีต่อกันมากนัก แต่ไม่ว่าจะจริงหรือไม่จริง ความเป็นมืออาชีพของทั้งคู่ก็สูงมากพอที่จะทำงานอย่างเต็มที่ในบทบาทของตัวเอง และดูเหมือนว่าการอยู่ของคูมันอาจจะไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการตัดสินใจของราชาลูกหนังชาวอาร์เจนไตน์แต่อย่างใด
เพราะตอนนี้แนวโน้มค่อนข้างชัดเจนว่าเมสซียินดีที่จะอยู่กับบาร์เซโลนาต่อไป และพร้อมจะต่อสัญญาระยะเวลา 2 ปีด้วยกัน โดยสัญญาณที่ค่อนข้างชัดที่สุดคือการที่บาร์ซารีบดึงตัว เซร์คิโอ อเกวโร หนึ่งในศูนย์หน้าที่มีความสนิทสนมกันมากที่สุด มาร่วมทีมทันทีเมื่อหมดสัญญากับแมนเชสเตอร์ ซิตี้
และจุดนี้ก็เป็นอีกจุดที่สำคัญอย่างมากสำหรับบาร์ซา เพราะสโมสรประสบปัญหาทางการเงินอย่างรุนแรง ดังนั้นนักเตะที่จะสามารถหาเข้ามาสู่ทีมได้ในฤดูกาลนี้จะเป็นกลุ่มนักเตะฟรีเอเจนต์ที่หมดสัญญากับสโมสร และสามารถย้ายทีมได้อย่างเป็นอิสระ
อเกวโรเป็นนักเตะรายแรกที่ถูกดึงตัวเข้ามา ต่อด้วย เอริค การ์เซีย ปราการหลังสายเลือดลามาเซีย ที่ถูกแมนฯ ซิตี้ ดึงตัวไปในปี 2017 แต่ขอกลับมาช่วยบาร์ซาอีกครั้งในยามลำบาก ซึ่งแม้ว่าจะได้รับข้อเสนอจากแชมป์พรีเมียร์ลีกให้ต่อสัญญาและข้อเสนอจากสโมสรอื่นๆ แต่ทางด้านกองหลังวัย 20 ปี ยืนกรานว่าจะกลับมาคัมป์นูเท่านั้นในฤดูกาลหน้า
ยังมีอีก 2 รายที่จะย้ายตามมาคือ จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม กองกลางจอมขยันที่หมดสัญญากับลิเวอร์พูล และ เมมฟิส เดปาย ปีกตัวเก่งทีมชาติเนเธอร์แลนด์ที่หมดสัญญากับทีมโอลิมปิก ลียง ซึ่งทั้งสองคนนั้นคุ้นเคยกับคูมันเป็นอย่างดีจากช่วงเวลาที่เล่นในทีมชาติ และอาจกล่าวได้ว่าเป็น ‘เด็กในคาถา’ ของคูมันที่ถูกดึงมาช่วยกันในทีมบาร์ซา
ถึงตรงนี้จึงพอจะเห็นภาพได้ชัดขึ้นว่าอีกหนึ่งเหตุผลที่คูมันได้ทำงานต่อคือ การเป็นโค้ชที่ไม่ได้เรียกร้องผู้เล่นในระดับซูเปอร์สตาร์เพียงอย่างเดียวในการสร้างทีมให้ประสบความสำเร็จ แต่ยินดีที่จะทำตามเงื่อนไขที่เต็มไปด้วยข้อจำกัดมากมายเช่นนี้ได้
อีกทั้งตัวเลือกอื่นๆ ที่น่าสนใจที่จะสามารถทำงานใต้สภาวะแบบนี้ได้ก็มีไม่มากนัก ตัวเลือกที่แฟนบอลต้องการอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอลา นั้นปิดประตูใส่สโมสรอย่างไม่ใยดี ขณะที่ ชาบี เอร์นานเดซ ซึ่งถูกคาดหมายมานานว่าจะกลับมารับตำแหน่งก็เพิ่งต่อสัญญากับอัล ซาดด์ การันตีการทำงานในกาตาร์ต่อไป (และไม่มีใครมั่นใจว่าชาบีจะกลับมาและพาทีมไปตลอดรอดฝั่งได้)
สำหรับบาร์ซา สิ่งที่ดีที่สุดคือการพยายามรักษาสิ่งที่มีอยู่ให้ดีที่สุด อย่างน้อยพวกเขาใกล้ประสบความสำเร็จในการเก็บตัวเมสซีเอาไว้กับทีมได้ ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคูมันในการพยายามพาทีมให้ไปได้ไกลมากที่สุด โดยที่หากทำได้ดีก็มีโอกาสจะต่อสัญญาที่จะหมดแค่สิ้นสุดฤดูกาลหน้าออกไป
ในสเปนเองคู่แข่งอย่างเรอัล มาดริด ก็ประสบปัญหาหนักไม่แพ้กัน และใช้วิธีที่ไม่แตกต่างกันในการแก้ไขปัญหา ทั้งการดึงโค้ชเก่าอย่าง คาร์โล อันเชล็อตติ กลับมา การยึดนักเตะที่มีอยู่เอาไว้ให้นานที่สุด และใช้นักเตะเท่าที่มีอยู่เพราะไม่สามารถจ่ายเงินเพื่อทุ่มซื้อใครได้เหมือนเดิม
ขณะที่แอตเลติโก มาดริด ถึงจะได้แชมป์ลาลีกา แต่หากมองในเรื่องความแข็งแกร่งของทีมแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้ถึงกับดีกว่าบาร์ซามากมายนัก ดังนั้นหากคูมันสามารถทำให้ทีมลงตัวทั้งเกมรุก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกมรับที่เป็นปัญหาใหญ่ที่ทำร้ายทีมตลอดทั้งฤดูกาลได้ ก็มีโอกาสที่พวกเขาจะกลับมาทวงความยิ่งใหญ่คืนได้ระหว่างที่เมสซียังพอมีกำลังและสโมสรรอที่จะฟื้นตัวในเรื่องสถานะทางการเงิน
เพียงแต่หนทางในการจะกลับมายิ่งใหญ่เหมือนเมื่อ 10 ปีก่อนนั้นยังห่างไกลและไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้
อ้างอิง:
- https://www.theguardian.com/football/2021/jun/03/barcelona-stick-with-ronald-koeman-as-manager-and-bring-in-jordi-cruyff
- https://en.as.com/en/2021/06/03/football/1622741748_426100.html
- อีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่เกิดขึ้นในทีมบาร์ซาคือ การที่ลาปอร์ตาดึง ยอร์ดี ครอยฟ์ บุตรชายของ โยฮัน ครอยฟ์ อดีตนักเตะและโค้ชผู้วางรากฐานให้แก่สโมสร กลับมาช่วยทีมอีกครั้งในฐานะผู้ช่วยผู้อำนวยการสโมสร