15 ตุลาคม 2552 เมื่อรถไฟฟ้าขบวนรักเข้าเทียบชานชาลา
เพียงแค่วันแรกที่เข้าฉาย รถไฟฟ้า มาหานะเธอ ก็สามารถทำได้รายไปมากถึง 15.1 ล้านบาท ทำลายสถิติรายได้สูงสุดในปีนั้น แซงหน้า ห้าแพร่ง ที่ทำไปได้ 14.9 ล้านบาท ติดอันดับหนังที่ทำรายได้สูงสุดติดต่อกันนานถึง 4 สัปดาห์ จนวันสุดท้ายที่ลาโรง รถไฟฟ้าขบวนรักนี้ก็กวาดเงินไปได้ทั้งหมด 145.82 ล้านบาท แซงหน้า แฟนฉัน ที่ทำเอาไว้ที่ทำเอาไว้ 137 ล้านบาท ขึ้นแท่นเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดของ GTH
หนึ่งในปัจจัยสำคัญของ รถไฟฟ้า มาหานะเธอ คือการเป็นภาพแทนมายาคติของสาวโสดอายุ 30 ที่ไม่กล้าแหวกขนบเพื่อเป็นฝ่ายตามหาความรัก ในจุดนี้นับว่าผู้กำกับอย่าง ปิ๊ง-อดิสรณ์ ตรีสิริเกษม ตีโจทย์นี้ออกตั้งแต่ฉากเปิดตัว เหมยลี่ ที่ในวันปกติก็ดูเป็นผู้หญิงแสนธรรมดา แต่เมื่อถึงงานแต่งงานของใครเมื่อใดเป็นต้องเข้าไปเมาป่วนจนเละเทะทุกที เพราะความกดดันที่ต้องเห็นคนใกล้ตัวทยอยเข้าพิธีแต่งงาน ได้ใส่ชุดเจ้าสาวแสนสวยและมีความสุข ในขณะที่ตัวเธอเองไม่กล้าแม้แต่จะเปิดเผยความรู้สึกในใจออกไปให้ใครรู้ด้วยซ้ำ รวมทั้งเล่าเรื่องผ่านมุมมองของตัวละครหญิงเป็นหลักก็ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยนักในวงการภาพยนตร์ไทย
กว่าที่บทนี้จะตกเป็นของ คริส หอวัง ทีมงาน GTH ได้ทำการแคสติ้งนักแสดงหญิงมากกว่า 600 คน โดยใช้เวลานานถึง 6 เดือน ด้วยภาพลักษณ์สาวสมัยใหม่นำแฟชั่นที่ขัดกับความหัวโบราณของเหมยลี่ ทำให้ในตอนแรกชื่อของคริสไม่ได้อยู่ในลิสต์ของทีมงานด้วยซ้ำ จนกระทั่งเธอได้ลองมาทดสอบหน้ากล้อง ทุกคนถึงได้ลงคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ว่าไม่มีใครเหมาะสมกับบทนี้มากไปกว่าเธอ
และคริสก็ไม่ทำให้ใครผิดหวัง โดยเฉพาะการค่อยๆ แสดงให้เห็นพัฒนาการของตัวละครที่เก็บกด ขี้อาย ห้ามบอกรักผู้ชายก่อน ต้องค่อยๆ ฝืนตัวเองและทำทุกวิถีทางเพื่อต่อสู้แย่งชิงความรักมาให้ได้ เธอเปลี่ยนตัวเองจากสาวเฉียบที่เต็มไปด้วยความมั่นใจให้กลายเป็น ‘ลูสเซอร์’ ฝ่ายหญิงที่ต่อสู้กับความพยายามและความผิดหวังได้อย่างสมบูรณ์แบบ
และนั่นนับว่าเป็นจุดที่ทำให้เธอแจ้งเกิดในวงการบันเทิงได้อย่างเต็มตัวจากรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม 9 เวที หนึ่งในนั้นคือรางวัลสุพรรณหงส์ที่เทียบได้กับรางวัลออสการ์ฝั่งไทย นอกจากนี้ยังกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงหลายคนกล้าเปิดเผยความรู้สึกในใจออกมา รวมทั้งความเข้าใจผิดที่หลายคนคิดว่าเธอต้องเป็นเจ้าของหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับโรงเรียนหอวังอย่างแน่นอน
รวมทั้งนักแสดงอย่าง เคน-ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์ ที่สามารถรับบทเป็น ลุง หนุ่มชื่อแปลกแต่หล่อทะลุแป้งผู้แสนเพอร์เฟกต์ได้เป็นอย่างดีจนเราเชื่อว่านี่แหละคือขุมทรัพย์ที่แทรกตัวอยู่ในเงาราตรี และคุ้มค่าพอที่เหมยลี่จะทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้เขาหลุดมือ
เช่นเดียว แพทตี้-อังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธา กับการแจ้งเกิดในบท เพลิน เด็กสาวสุดแสบ ตรงไปตรงมา ผู้เชี่ยวชาญด้านการจีบผู้ชาย ศัตรูหัวใจที่คนขี้อายอย่างเหมยลี่ต้องก้าวผ่านไปให้ได้ ถึงแม้ตามบทเพลินจะถูกว่าเป็นเด็กสก๊อย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอคือสก๊อยที่น่ารักที่สุดแล้วจริงๆ
นอกจากนี้สิ่งของและสถานที่ใน รถไฟฟ้า มาหานะเธอ ยังกลายเป็นปรากฏการณ์ต่อเนื่องในสังคม ตั้งแต่กระเป๋าแบรนด์เนมของเหมยลี่และแว่นตาเรย์แบนด์ของลุงที่พนักงานบอกว่ามีคนถือตั๋วหนังมาซื้อไปทันทีหลังดูหนังจบ รวมทั้งสถานที่ถ่ายทำอย่างพระปรางค์วัดอรุณฯ, พระที่นั่งอนันตสมาคม, เยาวราช และเกสต์เฮาส์ที่ลุงอาศัยอยู่ก็กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีคนตามรอยเต็มไปหมด โดยเฉพาะท้องฟ้าจำลองที่มีคนซื้อตั๋วเข้าไปชมแน่น เพราะแอบหวังว่าดาวหางแม็กไบรต์จำลองจะพาใครสักคนโคจรมาเจอกันสักที
ปรากฏการณ์สุดท้ายคือเพลง โปรดส่งใครมารักฉันที ของวง Instinct ได้กลายเป็น ‘เพลงชาติ’ ประจำตัวคนโสดเพลงใหม่ โดยเฉพาะในสถานที่ท่องเที่ยวยามราตรีที่เมื่อเพลงนี้ดังขึ้นเมื่อใด ไม่ว่าจะเป็นเพศไหน เป็นโสดหรือมากับแฟน เป็นต้องยกแก้วขึ้นดื่มพร้อมกับตะโกนสุดเสียงและเต้นสุดตัวกันทุกคน
พิสูจน์อักษะ: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์