
บทเรียนจากความยากจน พื้นที่สงคราม สู่มาตรฐานโลกที่ยั่งยืน
ท่ามกลางบริบทโลกที่มีความซับซ้อน ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และความขัดแย้งที่ปะทุขึ้นในหลายภูมิภาค ตัวเลขผู้ต้องขังหญิงทั่วโลกกลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ สวนทางกับความพยายามในการสร้างสันติภาพ ในวาระครบรอบ 15 ปีของข้อกำหนดกรุงเทพ (The Bangkok Rules) เวทีเสวนาหัวข้อ ‘The Bangkok Rules in Context: Building Gender-Responsive Justice for a Sustainable and Peaceful World’ จึงถูกจัดขึ้นเพื่อทบทวนเส้นทางที่ผ่านมาและกำหนดทิศทางสู่อนาคต
เวทีนี้ได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญระดับโลก 3 ท่านที่ทำงานคลุกคลีกับประเด็นนี้มาอย่างยาวนาน ได้แก่ Dr. Matti Joutsen อดีตผู้บริหารสถาบัน HEUNI ของสหประชาชาติ และที่ปรึกษา TIJ, Sabrina Mahtani ทนายความสิทธิมนุษยชนและผู้ก่อตั้ง Women Beyond Walls และ Taghreed Jaber ผู้อำนวยการระดับภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือจาก Penal Reform International (PRI) ดำเนินรายการโดย ณัฏฐา โกมลวาทิน ผู้อำนวยการฝ่ายข่าว THE STANDARD

Dr. Matti Joutsen
อดีตผู้บริหารสถาบัน HEUNI ของสหประชาชาติ และที่ปรึกษา TIJ
Bangkok Rules: รื้อถอน ‘โลกของผู้ชาย’ ในกระบวนการยุติธรรม
หากย้อนกลับไปก่อนปี 2010 โลกของกระบวนการยุติธรรมทางอาญาถูกนิยามและออกแบบโดยมี ‘ผู้ชาย’ เป็นศูนย์กลาง
Dr. Matti Joutsen ผู้คร่ำหวอดในงานสหประชาชาติมากว่า 5 ทศวรรษ เล่าให้เห็นภาพประวัติศาสตร์ว่า ในอดีตโปรแกรมป้องกันอาชญากรรมของ UN นั้นเป็น ‘พื้นที่หวงห้ามของผู้ชาย’ อย่างแท้จริง แนวคิดเรื่องอาชญากรรมถูกมองผ่านเลนส์ของผู้ชาย เจ้าหน้าที่เป็นผู้ชาย และผู้เชี่ยวชาญก็เป็นผู้ชาย ถึงขนาดที่การประชุม UN Congress ปี 1960 ที่ลอนดอน มีโปรแกรมเสริมสำหรับ ‘ภรรยาผู้เข้าร่วมประชุม’ ให้ไปจิบน้ำชาและช้อปปิ้งที่ห้าง Harrods สะท้อนให้เห็นว่าผู้หญิงถูกมองเป็นเพียงผู้ติดตาม ไม่ใช่ผู้เล่นหลักในกระบวนการยุติธรรม
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นจากการผลักดันของประเทศไทย โดยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ผ่านโครงการกำลังใจ (ELFI) นำไปสู่การร่าง ‘ข้อกำหนดกรุงเทพฯ’ (Bangkok Rules) หรือข้อกำหนดสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงและมาตรการที่มิใช่การคุมขังสำหรับผู้กระทำผิดหญิง ซึ่งได้รับการรับรองจากสมัชชาสหประชาชาติในปี 2010
กฎนี้เข้ามาอุดช่องโหว่สำคัญ โดยระบุชัดเจนว่าผู้หญิงมีความต้องการเฉพาะด้านที่ไม่เหมือนผู้ชาย เช่น สุขภาพอนามัยเจริญพันธุ์ การตั้งครรภ์ การเลี้ยงดูบุตร และที่สำคัญคือภูมิหลังการกระทำผิดที่มักเชื่อมโยงกับการตกเป็นเหยื่อความรุนแรง
“ผมคิดว่าข้อกำหนดกรุงเทพฯ เป็นข้อยกเว้นที่โดดเด่น เพราะไม่ได้ส่งผลกระทบแค่มาตรฐานการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิง หรือผู้หญิงที่ได้รับโทษที่ไม่ใช่การคุมขังเท่านั้น แต่รวมถึงความเข้าใจเรื่องกระบวนการยุติธรรมและการป้องกันอาชญากรรมทั่วโลกในภาพรวม” Matti Joutsen กล่าว

Sabrina Mahtani
ทนายความสิทธิมนุษยชนและผู้ก่อตั้ง Women Beyond Walls
ความจริงที่เจ็บปวด: เมื่อ ‘ความยากจน’ กลายเป็นอาชญากรรม
Sabrina Mahtani อธิบายความจริงอันโหดร้ายของผู้หญิงรากหญ้า เธอชี้ให้เห็นถึงเส้นทางจากความยากจนสู่การลงโทษ
จากประสบการณ์กว่า 20 ปี Sabrina พบว่าผู้หญิงจำนวนมหาศาลไม่ได้เข้าคุกเพราะเป็นอาชญากรโดยสันดาน แต่เพราะพวกเธอพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอด กฎหมายในหลายประเทศ (โดยเฉพาะกฎหมายยุคอาณานิคม) มักเอาผิดกับการกระทำที่เกิดจากความยากจน เช่น การขโมยผ้าอ้อมหรืออาหารเด็ก การเร่ขายของโดยไม่มีใบอนุญาต หรือแม้แต่การไม่มีเงินจ่ายค่าปรับจราจร
Sabrina ยกตัวอย่างในเคนยาที่ผู้หญิงมักถูกจับกุมข้อหาต้มสุราเถื่อน พวกเธอทำเพราะต้องการรายได้เลี้ยงลูกและสามารถทำได้ที่บ้าน แต่กลับต้องแลกด้วยอิสรภาพ หรือกรณีในอังกฤษและเวลส์ที่คดีลักเล็กขโมยน้อยของผู้หญิงพุ่งสูงถึง 40% ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากความขัดสน
“เหตุผลที่ฉันไม่เคยติดคุก ไม่ใช่เพราะฉันเป็นคนดีหรือมีศีลธรรมสูงส่ง แต่เพราะฉันมีอภิสิทธิ์ที่เกิดในครอบครัวที่ส่งเสียให้เรียน ฉันไม่ต้องตัดสินใจเรื่องยากๆ แบบที่ผู้หญิงยากจนต้องเผชิญ” Sabrina Mahtani กล่าว
ผลกระทบที่ร้ายแรงที่สุดของการขังผู้หญิงคือผลกระทบข้ามรุ่น เพราะผู้หญิงมักเป็นผู้ดูแลหลักของครอบครัว เมื่อแม่ติดคุก ลูกๆ จะถูกทิ้งให้อยู่ในภาวะเสี่ยง ขาดการศึกษา และอาจเข้าสู่วงจรอาชญากรรมในที่สุด
“เมื่อเราขังแม่คนหนึ่ง เรากำลังขังทั้งครอบครัวของเธอด้วย (When we imprison a mother, we imprison a family.)”

Taghreed Jaber
ผู้อำนวยการระดับภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ
Penal Reform International (PRI)
ในสมรภูมิสงคราม: ผู้หญิงที่ถูกลืมในความขัดแย้ง
สถานการณ์ในยามปกติถือว่าแย่แล้ว สถานการณ์ในพื้นที่ขัดแย้งยิ่งเลวร้ายกว่า Taghreed Jaber จาก PRI ฉายภาพจากประสบการณ์ในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ โดยเชื่อมโยง Bangkok Rules เข้ากับวาระ ‘ผู้หญิง สันติภาพ และความมั่นคง’
Taghreed ยกตัวอย่างกรณีสงครามในเยเมนซึ่งประเทศแตกแยก ทำให้ระบบยุติธรรมล่มสลาย สิ่งที่เธอพบคือ ในพื้นที่ภาคใต้เหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงเพียง 12 คน และไม่มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์หญิงเลยแม้แต่คนเดียวในเรือนจำ หมายความว่าผู้ต้องขังหญิงต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้ชายล้วน ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกล่วงละเมิดอย่างยิ่ง
PRI จึงนำ Bangkok Rules มาใช้เป็นกรอบในการเจรจาและสร้างโรงเรียนตำรวจหญิง เร่งฝึกอบรมเจ้าหน้าที่หญิงกว่า 4,000 คน เพื่อเข้าไปทำหน้าที่ตรวจค้นและดูแลผู้ต้องขังหญิงตามหลักสิทธิมนุษยชน
อีกกรณีที่น่าสะเทือนใจคือในซูดาน เมื่อเกิดการระบาดของอหิวาตกโรคในเรือนจำหญิงที่มีเด็กติดผู้ต้องขังอยู่ด้วย 10 คน การช่วยเหลือทางมนุษยธรรมจากภายนอกมักเข้าไปไม่ถึงเรือนจำ เพราะคนมักมองข้ามผู้ที่อยู่หลังกำแพง
Taghreed ยังชี้ให้เห็นจุดบอดในกระบวนการสันติภาพว่า ในการเจรจาแลกเปลี่ยนนักโทษ คู่ขัดแย้งมักพูดถึงแต่นักโทษชาย แต่ผู้หญิงที่ถูกจับกุมกลับถูกลืมไว้ข้างหลัง อย่างสมบูรณ์
“สันติภาพที่ปราศจากความยุติธรรมนั้นเปราะบาง และความยุติธรรมคือหัวใจสำคัญของสันติภาพ หากขาดสิ่งนี้เราจะไม่สามารถบรรลุอะไรได้เลย” Taghreed Jaber ให้ความเห็น

ความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม และอุปสรรคที่ยังขวางกั้น
ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา Bangkok Rules ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ ดังนี้
1. กฎหมายเปลี่ยน: หลายประเทศแก้ไข พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ เช่น โคลอมเบียที่ออกกฎหมายอนุญาตให้แม่ที่มีลูกเล็กหรือต้องดูแลคนแก่ สามารถทำงานบริการสังคมแทนการจำคุกได้หากโทษไม่เกิน 8 ปี
2. นวัตกรรมความยุติธรรม: เกิด ‘ศูนย์ช่วยเหลือผู้หญิง’ (Women’s Centers) ในอังกฤษและหลายประเทศ ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าคุ้มค่ากว่าการสร้างคุก Sabrina ให้ข้อมูลว่าการดูแลผู้หญิงในศูนย์ฯ ใช้งบ 4,000 ปอนด์ (ประมาณ 176,000 บาท) ต่อคนต่อปี ในขณะที่การขังคุกใช้งบถึง 52,000 ปอนด์ (สูงกว่า 2.2 ล้านบาท) ต่อคนต่อปี
3. เปลี่ยนทัศนคติ: เจ้าหน้าที่คุมประพฤติในเคนยาเริ่มเขียนรายงานเสนอศาลโดยคำนึงถึงบริบทชีวิตของผู้หญิงมากขึ้น อาทิ แนะนำงานบริการสังคมที่ไม่กระทบเวลาไปรับลูกที่โรงเรียน
แต่อุปสรรคสำคัญยังคงมีอยู่
- ชนกลุ่มน้อย: ผู้ต้องขังหญิงมีสัดส่วนน้อย (ประมาณ 5-10%) ผู้บริหารมักใช้ข้ออ้างว่า ‘งบมีจำกัด ต้องดูแลคนส่วนใหญ่ (ผู้ชาย) ก่อน’ ทำให้ความต้องการของผู้หญิงถูกปัดตก
- มายาคติเรื่อง ‘เหยื่อที่สมบูรณ์แบบ’: Sabrina เล่าว่าผู้ให้ทุนมักลังเลที่จะสนับสนุนองค์กรที่ทำงานกับผู้ต้องขังหญิงเพราะกลัวภาพลักษณ์เสีย หากต้องช่วยเหลือผู้หญิงที่ฆ่าสามีหรือค้ายา ทั้งที่เบื้องหลังการกระทำเหล่านั้นมักมีความซับซ้อนของความรุนแรงและการถูกบังคับ
- ข้อมูลสูญหาย: เรายังขาดตัวเลขที่ชัดเจนว่ามีผู้หญิงกี่คนในโลกที่ติดคุก หรือมีกี่คนที่ตั้งครรภ์ ทำให้การแก้ปัญหาไม่ตรงจุด
The Way Forward: ก้าวต่อไปสู่อนาคต
ในช่วงท้าย ผู้ร่วมเสวนาได้เสนอ ‘ทางออก’ ที่ทรงพลังและเป็นรูปธรรมสำหรับทศวรรษหน้า
1. ข้อมูลและความรับผิดชอบ
Dr. Matti และ Taghreed เห็นตรงกันว่าต้องผลักดันให้รัฐบาลเก็บข้อมูลแยกเพศและควรมีกลไกตรวจสอบระดับสากล อาทิ ผู้รายงานพิเศษของ UN ด้านผู้ต้องขัง เพื่อกดดันให้รัฐปฏิบัติตามกฎ ไม่ใช่แค่รับหลักการลอยๆ
2. การลงทุนที่ยั่งยืนให้ภาคประชาสังคม
Sabrina เรียกร้องให้แหล่งทุนเปลี่ยนวิธีคิด เลิกให้ทุนแบบโครงการสั้นๆ แต่ควรให้ทุนสนับสนุนองค์กรแก่องค์กรภาคประชาสังคมที่ทำงานด่านหน้า เพราะคนกลุ่มนี้คือผู้ที่เข้าถึงผู้หญิงในคุกได้ดีที่สุด หากพวกเขาอยู่ไม่ได้ Bangkok Rules ก็จะตายไปพร้อมกับพวกเขา
3. ความเห็นอกเห็นใจและการจินตนาการใหม่
สิ่งสำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนทัศนคติของสังคม Dr. Matti ย้ำว่า การใช้หลักฐานเชิงประจักษ์จะช่วยโน้มน้าวผู้กำหนดนโยบายให้เห็นว่าการไม่ขังผู้หญิงนั้น ‘คุ้มค่าทางเศรษฐกิจ’
และสุดท้ายคือการทลายกำแพงอคติ เราต้องเลิกมองพวกเธอเป็นอาชญากร แต่ให้มองเห็นความเป็นมนุษย์ ความเป็นแม่ และความเป็นเหยื่อของความไม่เท่าเทียม
“ถึงเวลาแล้วที่เราจะจินตนาการใหม่ว่า ความยุติธรรมสำหรับผู้หญิงควรจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ไม่มีเหยื่อที่สมบูรณ์แบบ แต่เราต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” Sabrina Mahtani กล่าวทิ้งท้าย

15 ปีของ Bangkok Rules คือการเดินทางไกลที่เริ่มต้นจากความเห็นอกเห็นใจจนกลายเป็นมาตรฐานโลก แต่งานยังไม่จบ หัวใจสำคัญของการก้าวต่อจากนี้คือการทำให้กฎระเบียบในกระดาษกลายเป็นการปฏิบัติจริงที่เปลี่ยนชีวิตผู้คนได้ ไม่ใช่เพียงเพื่อผู้หญิงในเรือนจำ แต่เพื่อสร้างสังคมที่โอบรับ ยั่งยืน และเปี่ยมไปด้วยสันติภาพสำหรับทุกคน


