วันนี้ (28 พฤษภาคม) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 1 สมัยวิสามัญ เป็นพิเศษ ที่มี พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่งเป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย วาระรับหลักการ ซึ่งเป็นร่างที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ โดยมี มนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ได้รายงานหลักการและเหตุผลของร่างกฎหมายสาระสำคัญ
สำหรับสาระสำคัญนั้นเพื่อให้ รฟม. สามารถดำเนินกิจการรถไฟฟ้าและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการตั๋วร่วม ทำให้การเดินทางมีความสะดวก คล่องตัวแก่ประชาชน และรฟม.สามารถจัดหาประโยชน์ในทรัพย์สินซึ่งรวมถึงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อแสวงหารายได้ให้แก่หน่วยงาน ช่วยลดภาระงบประมาณภาครัฐ เช่น การพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์รอบสถานี, การบริหารจัดการพื้นที่โฆษณา, การให้เช่าพื้นที่ร้านค้า, การให้บริการ Wi-Fi
นอกจากนี้ให้ รฟม. สามารถออกพันธบัตรรัฐบาลหรือตราสารอื่นเพื่อประโยชน์แก่กิจการของ รฟม. นอกเหนือจากเพื่อการลงทุน ได้ และการกำหนดอัตราค่าโดยสาร ค่าบริการ ค่าธรรมเนียมการใช้ทรัพย์สินของ รฟม. ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จากเดิมต้องผ่าน ครม.
แก้กฎหมาย ล้วงกระเป๋า รฟม. 1.6 หมื่นล้าน
สุรเชษฐ์ ประวีณวงษ์วุฒิ สส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายเห็นว่ากฎหมายฉบับนี้เสนอเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อดึงเงินสะสมมาอุดหนุนรถไฟฟ้าโครงการ 20 บาทตลอดสายตามที่รัฐมนตรีฯให้สัมภาษณ์ พร้อมตั้งคำถามถึงเรื่องค่าใช้จ่ายในการประสานงานแต่ละปี
เมื่อเปรียบเทียบกับรายได้ที่ได้มากับต้นทุน โดยเฉพาะเป็นการล้วงกระเป๋าของ รฟม. พร้อมหยิบยกเหตุผลที่เคยประกาศว่าโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายทำไม่ได้ แต่รัฐบาลควรทำราคาค่ารถไฟฟ้า 8-45 บาทตลอดทาง มองระบบขนส่งการไฟฟ้าอย่างเป็นระบบ พร้อมชี้แจงถึงเหตุผลที่ไม่เห็นด้วย 4 ข้อ
- ร่างกฎหมายวันนี้ เร่งรีบแซงคิวอย่างน่าเกลียด
- ร่างที่เข้าสภาแตกต่างจากที่รับฟังความเห็นมามาก
- เนื้อหาแก้ไม่ได้ตั้งใจทำให้ รฟม. ดีขึ้นแต่เป็นการแก้เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของรัฐบาล
- การลดภาระค่าเดินทางควรทำอย่างรอบคอบผ่านกลไกค่าโดยสารตั๋วร่วมที่ต้องคำนึงถึงผลระยะยาว
“พ.ร.บ. นี้มีมาเพื่อล้วงกระเป๋า รฟม. 16,000 ล้านบาท เพื่อมาทำนโยบาย 20 บาทให้อยู่ได้ 2 ปี ไม่ได้อยู่ยั่งยืนจีรัง ที่เหลือคือหนี้ที่ทุกคนจะต้องร่วมกันจ่ายและการตัดสินใจของรัฐบาลน่าจะจะเอาอย่างไรต่อกับเรื่องนี้ และการเลือกทำนโยบายแบบนี้แน่นอนประชาชนอาจจะไม่พอใจเพราะเคยจ่ายถูก แต่ถูกอย่างไม่สมเหตุสมผล การเสนอกฎหมายครั้งนี้ไม่ได้แก้ปัญหาให้ รฟม. แต่แก้ปัญหาที่รัฐบาลสร้างขึ้นไม่สมเหตุสมผล 20 บาทตลอดสายโดยจะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการล้วงกระเป๋า รฟม.”
รับแก้กฎหมาย ทำนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย
ขณะที่ ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ สส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ร่วมอภิปรายสนับสนุนร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว เพื่อแก้ไขและส่งเสริมกลไกการกำหนดค่าโดยสารในระบบรถไฟฟ้า โดยอาศัยรายได้จากการบริหารระบบรถไฟฟ้าเอง ประเทศไทยประมูลสัมปทานรถไฟฟ้าแบบแยกสาย โดยให้เอกชนเป็นผู้ลงทุนแทนรัฐ และมีการคิดกรอบค่าโดยสารแยกเป็นรายสาย เพื่อให้เอกชนสามารถคืนทุนได้ ซึ่งเป็นปัญหาที่ทำให้ค่าโดยสารมีราคาสูง และเกิดค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อนจากการเปลี่ยนสาย ส่งผลให้การบริหารจัดการไม่มีความเชื่อมต่อ หลายรัฐบาลพยายามดำเนินการเรื่องนี้แต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากหากจะดำเนินการให้ยั่งยืน จำเป็นต้องทำผ่านการตรากฎหมาย
ชนินทร์กล่าวว่า รัฐบาลเพื่อไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนาขนส่งมวลชนให้มีราคาถูก สะดวกสบาย และใช้งานได้อย่างกว้างขวาง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในหลายมิติ ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา มีการเสนอแก้ไขกฎหมายอย่างเป็นรูปธรรม 2 ฉบับ ได้แก่ พ.ร.บ.ขนส่งทางราง และ พ.ร.บ.การจัดการระบบตั๋วร่วม โดยจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อพิจารณาราคาค่าโดยสารที่เหมาะสม วิธีการบริหารจัดการ และรูปแบบการจ่ายให้มีมาตรฐานเดียวกัน รวมถึงวางแผนโครงสร้างระบบรถไฟฟ้าและระบบตั๋วร่วมในอนาคต
นอกจากนี้ กฎหมายยังให้อำนาจในการออกพระราชกฤษฎีกา และกำหนดให้เอกชนทุกรายต้องเข้าร่วมระบบตั๋วร่วม เพื่อให้การดำเนินการนี้เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะอย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งขณะนี้ ร่างกฎหมายทั้งสองฉบับได้ผ่านการพิจารณาในชั้นกรรมาธิการแล้ว และรอเข้าสู่การพิจารณาในวาระ 2-3 ของการประชุมสมัยหน้า หากผ่านความเห็นชอบ จะทำให้ระบบตั๋วร่วมเกิดขึ้นจริง มีราคาที่เหมาะสม และการบริหารจัดการเชื่อมโยงกัน
ชนินทร์กล่าวถึงราคารถไฟฟ้าว่า พรรคเพื่อไทยได้เสนอให้อัตราค่าโดยสารอยู่ที่ 20 บาทตลอดสาย โดยมีการประกาศนโยบายแล้วจาก สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งภายในเดือนกันยายนนี้จะเริ่มใช้งานระบบตั๋วร่วมและค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสายอย่างแน่นอน แต่อุปสรรคสำคัญคือ การลดราคาในช่วงที่เอกชนยังถือสัมปทานเดิมอยู่ ซึ่งอาจไม่เป็นธรรมต่อเอกชน ดังนั้น รัฐบาลจำเป็นต้องชดเชยรายได้ที่หายไปในระหว่างสัมปทานยังไม่สิ้นสุด โดยต้องหาวิธีชดเชยที่เหมาะสม ไม่ใช่การชดเชยทุกบาททุกเที่ยว
ทั้งนี้ เมื่อราคาค่าโดยสารถูกลง ประชาชนจะใช้บริการมากขึ้น แม้รายได้เฉลี่ยต่อคนจะลดลง แต่จำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นจะช่วยเพิ่มรายได้รวมในระบบ ทำให้ช่องว่างของรายได้ลดลง และส่งผลให้ภาครัฐต้องชดเชยน้อยลงตามไปด้วย
ชนินทร์ยังกล่าวว่า หากพิจารณากฎหมายที่เสนอ จะเห็นว่าเป็นการเพิ่มเติมให้องค์การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) สามารถจัดหาประโยชน์จากทรัพย์สินของตนเองได้ เพื่อให้ในอนาคต รฟม. สามารถดำเนินกิจกรรมเพื่อหารายได้เพิ่มเติม ซึ่งรายได้นี้จะถูกนำมาชดเชยค่ารถไฟฟ้าของประชาชน
อีกทั้ง รฟม. ยังสามารถนำรายได้ที่จัดเก็บได้ ไปใช้สนับสนุนการดำเนินการของระบบตั๋วร่วม ซึ่งเป็นการตอบคำถามว่า รัฐบาลจะใช้งบประมาณจากไหนเพื่อทำนโยบาย 20 บาทตลอดสาย โดยจะเปลี่ยนจากการทำธุรกิจเชิงพาณิชย์ มาเป็นการสนับสนุนระบบขนส่งสาธารณะให้เข้าถึงได้ในราคาประหยัด และหาแหล่งรายได้ทางเลือกแทน
รทสช. ไม่เห็นด้วยในการออกพันธบัตร และการกู้เงิน
จุติ ไกรฤกษ์ สส. บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลอภิปรายตั้งคำถามต่อผู้ชี้แจง โดยเห็นด้วยที่รัฐบาลต้องการให้ประชาชนใช้ค่าโดยสารถูก 20 บาทตลอดสาย แต่ถามไปยังคณะรัฐมนตรีซึ่งมีหน้าที่บริหารทรัพยากรที่ขาดแคลน ยอมรับว่านโยบายดังกล่าวเป็นประชานิยม
แต่ประชาชนเป็นผู้ใหญ่ แต่ถามว่ารัฐบาลจะสามารถทำได้นานแค่ไหนโดยไม่ต้องใช้เงินอุดหนุน หรือหาวิธีอื่นนอกจากใช้เงินกองทุน รฟม. และรู้สึกตกใจ มีข้อมูลจากผู้อภิปรายคนอื่นว่า รฟม. มีหนี้ 6 แสนล้านบาท และมีกองทุน 1.6 หมื่นล้าน ซึ่งสุดท้ายประชาชนก็จะต้องเป็นผู้ใช้หนี้
“วันนี้ท่านทราบแล้วว่ามีผู้โดยสารประมาณวันละ 2 ล้านคน ถ้าเผื่อลดราคาอาจเพิ่มขึ้นเป็น 3 ล้านคน เป็นสิ่งประเสริฐมากว่ากรุงเทพมหานครสามารถดูแลคน 3 ล้านคนให้มีค่าโดยสารที่ถูกลง ลดค่าของชีพจริงแต่ขอถามเถอะว่าเงินที่เอามานั้นมาจากไหน เราอยากช่วยคนจนผู้มีรายได้น้อยในกรุงเทพมหานครให้มีค่าโดยสารที่ถูก แต่ถามว่าท่านกำลังเอาเงินภาษีจากคนทั้งประเทศจากคนจนกว่า มาอุ้มคนจนด้วยกันหรือ ซึ่งเป็นคำถามที่รัฐมนตรีต้องตอบต่อสภา” จุติกล่าว
จุติกล่าวต่อว่าไม่สบายใจกรณีการอนุญาตให้มีการออกพันธบัตรได้เอง เพราะห่วงฐานะเครดิตความน่าเชื่อถือของกระทรวงการคลัง หากแต่ละกระทรวงออกปฏิบัติได้เองจะสามารถคุมวินัยการเงินการคลังได้อย่างไร และต้องบอกว่าวันนี้รัฐบาลไทยไม่ใช่เศรษฐีซึ่งปัจจุบันประเทศไทยยังเป็นหนี้อยู่และยังต้องกู้ จึงต้องการฟังการชี้แจง การบริหารนวัตกรรมการบริหารค่าโดยสารโดยไม่ต้องหยิบเงินจากกองทุนหรือออกพันธบัตรกู้ โดยย้ำให้คำนึงถึงความคุ้มค่า เพราะว่าเงินนั้นไม่ว่าใครกู้รัฐบาลก็เป็นหนี้และผู้จ่ายคือประชาชน
“ฝากไปยังกรรมาธิการที่ตั้งขึ้นว่าช่วยกันระดมสมองว่า 20 บาทตลอดสายเป็นสิ่งที่ดี สิ่งที่ดีกว่าคือไม่ต้องใช้เงินกู้ ไม่ต้องใช้เงินอุดหนุน ความคุ้มค่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับยาจกประเทศไทย เราไม่ใช่เศรษฐี” จุติกล่าว
ท้ายที่ผลปรากฏว่า ที่ประชุมรับหลักการพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย จากจำนวนผู้ลงมติ 442 เสียง เห็นด้วย 295 เสียง ไม่เห็นด้วย 144 งดออกเสียง 1 เสียง ไม่ลงคะแนน 2 เสียง พร้อมตั้งคณะกรรมาธิการจำนวน 25 คน แบ่งเป็น สัดส่วน ครม. 6 คน, สส. 19 คน แบ่งเป็น พรรคประชาชน 6 คน, พรรคเพื่อไทย 6 คน, พรรคภูมิใจไทย 3 คน, พรรครวมไทยสร้างชาติ 1 คน, กล้าธรรม 1 คน, พรรคประชาธิปัตย์ 1 คน และพลังประชารัฐ 1 คน
ทั้งนี้ พรรคกล้าธรรมได้ขอเสนอชื่อ กฤษฎิ์ ชีวะธรรมานนท์ สส. ชลบุรี พรรคประชาชน ที่ขณะนี้ประกาศร่วมงานกับพรรคกล้าธรรม