ภาคเอกชนเกาะติดสถานการณ์น้ำท่วมใกล้ชิด! หอการค้าไทยหวั่น น้ำท่วม ลากยาว กระทบเศรษฐกิจไทย 8 หมื่นล้าน หรือคิดเป็น 0.05% ของ GDP ชี้ ภาคการเกษตรได้รับผลกระทบมากที่สุด มูลค่าความเสียหายถึง 7,168 ล้านบาท พร้อมประเมินโอกาสเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเหมือนกับปี 2554 มองว่า ‘มีความเป็นไปได้น้อย’ จาก 5 ปัจจัย
วันนี้ (2 กันยายน) สนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ภาคเอกชนติดตามสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในภาคเหนืออย่างใกล้ชิด ซึ่งยังมีแนวโน้มที่ฝนจะตกเพิ่มอีกระลอก
โดยหอการค้าไทยและมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยประเมินมูลค่าความเสียหายกรณีสถานการณ์น้ำท่วมในเขตพื้นที่ภาคเหนือเบื้องต้นประมาณ 8,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.05% ของ GDP (สมมติให้สถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลายภายใน 15 วัน)
ทั้งนี้ จากการประเมินพบว่า ภาคการเกษตรได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยมีมูลค่าความเสียหายถึง 7,168 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 89.6% ของความเสียหายทั้งหมด รองลงมาเป็นภาคบริการ เสียหาย 693 ล้านบาท (8.66%) และภาคอุตสาหกรรม เสียหาย 139 ล้านบาท (1.74%)
เผยจังหวัดที่ได้รับความเสียหายมากที่สุด 3 อันดับ
จังหวัดที่ได้รับความเสียหายมากที่สุด 3 อันดับ ได้แก่ เชียงราย มีมูลค่าความเสียหายรวม 3,632 ล้านบาท รองลงมาคือพะเยา 2,034 ล้านบาท และสุโขทัย 1,359 ล้านบาท ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม หลายจังหวัดยังมีความเสี่ยงที่อาจเกิดน้ำท่วม โดยเฉพาะฝนตกหลังเขื่อนที่อาจสร้างผลกระทบเพิ่มเติม ซึ่งหากสถานการณ์ยืดเยื้อถึง 1 เดือน และขยายวงกว้าง อาจเสียหายรวมกว่าหมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 0.06% ของ GDP
จี้รัฐบาลใหม่เร่งจัดตั้งวอร์รูมรับมือมวลน้ำที่จะไหลลงมาสู่ภาคกลาง-กรุงเทพฯ
ดังนั้นในระยะสั้นหอการค้าไทยฯ เสนอให้รัฐบาลจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อให้การสั่งการและมอบหมายนโยบายข้ามกระทรวงบูรณาการการทำงานได้อย่างคล่องตัว
“ต้องเตรียมแผนรับมือมวลน้ำที่จะไหลลงมาสู่ภาคกลางและกรุงเทพฯ ตลอดจนปริมาณฝนที่คาดว่าจะมีการตกหลังเขื่อนในช่วงเดือนกันยายนและตุลาคม ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจทำให้เกิดน้ำท่วมเพิ่มเติมได้” สนั่นกล่าว
หากรัฐบาลมีแผนเชิงป้องกันไว้ล่วงหน้าที่ชัดเจนก็จะช่วยลดผลกระทบและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนและเศรษฐกิจได้มาก
สำหรับประเด็นที่หลายฝ่ายกังวลว่าจะมีโอกาสเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเหมือนกับปี 2554 หรือไม่ ส่วนนี้หอการค้าไทยฯ มองว่ามีความเป็นไปได้น้อย โดยประเมินจาก 5 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่
- ปริมาณฝนสะสมปี 2567 น้อยกว่าปี 2554 โดยในปี 2554 มีปริมาณฝนสะสมทั้งปีสูงกว่าค่าเฉลี่ยถึง 24% ขณะที่ปี 2567 มีปริมาณฝนสะสมตั้งแต่เดือนมกราคม – 20 สิงหาคม ต่ำกว่าค่าปกติ 4%
- จำนวนพายุที่คาดว่าจะเข้าประเทศไทยปี 2567 น้อยกว่าปี 2554 โดยในปี 2554 มีพายุเข้าถึง 5 ลูก ขณะที่ปี 2567 คาดว่าจะมีพายุหมุนเขตร้อนเคลื่อนที่เข้าประเทศไทยเพียง 1-2 ลูก
- ความสามารถในการรองรับน้ำของเขื่อนหลักปี 2567 ดีกว่าปี 2554 ณ วันที่ 30 สิงหาคม 2567 เขื่อนหลัก 4 แห่งมีปริมาณน้ำรวม 7,208 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 40% ของความจุ ยังรับน้ำได้อีก 10,967 ล้านลูกบาศก์เมตร (เทียบกับปี 2554 ที่สามารถรับน้ำเพิ่มได้เพียง 4,647 ล้านลูกบาศก์เมตร) แสดงว่าเขื่อนหลัก 4 แห่งยังมีความสามารถในการรองรับน้ำได้อีกมาก
- แนวโน้มสถานการณ์น้ำในลำน้ำสายหลักส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ปกติถึงน้ำน้อย
- ปริมาณน้ำไหลผ่านสถานี C2 แม่น้ำเจ้าพระยายังไม่มากเท่ากับปี 2554 ซึ่งปี 2567 มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 1,307 ลูกบาศก์เมตร/วินาที (คาดการณ์สูงสุด 2,860 ลูกบาศก์เมตร/วินาที) เทียบกับปี 2554 ที่มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 2,284 ลูกบาศก์เมตร/วินาที (ค่าสูงสุด 4,689 ลูกบาศก์เมตร/วินาที)
มองสถานการณ์น้ำในปี 2567 มีความรุนแรงน้อยกว่าปี 2554
ดังนั้นแสดงให้เห็นว่าสถานการณ์น้ำในปี 2567 มีความรุนแรงน้อยกว่าปี 2554 อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้มีความเป็นไปได้น้อยที่จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเหมือนกับปี 2554 แต่สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญทันทีหลังสถานการณ์ระดับน้ำลดลงและเข้าสู่ภาวะปกติคือการช่วยเหลือ ซ่อมแซม และฟื้นฟู ให้ประชาชนและภาคธุรกิจในพื้นที่
โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลกระทบรุนแรง เช่น ประชาชนที่บ้านจมหายหรือเสียหายทั้งหลังควรได้รับเงินชดเชยหรือเงินช่วยเหลือ ส่วนของภาคธุรกิจก็ต้องเร่งสำรวจจัดลำดับความเสียหาย ซึ่งหอการค้าไทยฯ เห็นว่ารัฐบาลควรมีนโยบายให้สถาบันการเงินของรัฐเร่งจัดมาตรการทางการเงินช่วยเหลือ เช่น การพักชำระหนี้ การลดดอกเบี้ย หรือแม้แต่ Soft Loan เพื่อช่วยปรับปรุงและซ่อมแซมเครื่องไม้เครื่องมือในการประกอบธุรกิจ เพื่อให้ภาคธุรกิจกลับมาฟื้นตัวได้โดยเร็ว