กระแสแฮชแท็ก #แบนเกาหลี ในโซเชียลมีเดียไทยกำลังส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของเกาหลีใต้ โดยนักท่องเที่ยวไทยจำนวนมากเลือกที่จะเดินทางไปยังประเทศอื่นๆ เช่น จีนและญี่ปุ่น แทน เพราะ ‘ฟรีวีซ่า’ แถมราคาถูกกว่า
จากมุมมองของคนไทย ปัญหาการตรวจคนเข้าเมืองที่เข้มงวดของเกาหลีใต้เป็นปัญหาเรื้อรังมาตั้งแต่ปีที่แล้ว มีคนไทยจำนวนมากที่ได้รับอนุมัติ K-ETA แล้ว แต่กลับถูกปฏิเสธการเข้าเมืองเมื่อเดินทางถึง ทำให้ต้องสูญเสียค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าโรงแรม และค่าทัวร์ที่จ่ายล่วงหน้าไปแล้ว
นอกจากนี้ การถูกปฏิเสธเข้าเมืองยังทำให้เจ้าหน้าที่ประทับตราปฏิเสธในหนังสือเดินทาง ซึ่งอาจส่งผลต่อการเดินทางไปยังประเทศอื่นๆ ในอนาคต
เกาหลีใต้ชี้แจงว่า ปัญหาเกิดจากแรงงานผิดกฎหมายจากไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองต้องเข้มงวดในการตรวจสอบนักท่องเที่ยวไทยมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ชาวไทยมองว่านี่เป็นการเลือกปฏิบัติและละเมิดสิทธิของนักท่องเที่ยว
รายงานของ Nikkei Asia ระบุว่า แฮชแท็ก #แบนเกาหลี ซึ่งแม้ว่าคำแปลภาษาอังกฤษของแฮชแท็กจะดูเหมือนมีความหมายเชิงลบ แต่นี่เป็นการเคลื่อนไหวคว่ำบาตรมากกว่าการดูถูกทางวัฒนธรรม เริ่มเห็นได้มากขึ้นในแพลตฟอร์ม X ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว
จากนั้นในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ จำนวนชาวไทยที่เดินทางไปเกาหลีใต้ลดลง 21% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เหลือ 119,000 คน ตามข้อมูลขององค์การการท่องเที่ยวเกาหลี ในขณะที่นักท่องเที่ยวจากประเทศอื่นๆ กลับเพิ่มขึ้น
ตามข้อมูลของรัฐบาลเกาหลีใต้ มีชาวไทย 157,000 คนที่พำนักอยู่ในประเทศอย่างผิดกฎหมาย ณ เดือนกันยายน 2023 ซึ่งเป็นจำนวน 3 เท่าของจำนวนที่บันทึกไว้ในปี 2015 รัฐบาลกล่าวเมื่อปีที่แล้วว่า ตั้งแต่ปี 2016 ชาวไทยคิดเป็นสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุดของชาวต่างชาติที่พำนักอยู่ในประเทศอย่างผิดกฎหมาย โดยสาเหตุหลักที่ลักลอบอยู่เพราะได้รับค่าจ้างขั้นต่ำต่อวันมากกว่าที่บ้านเกิดถึง 3-4 เท่า
ขณะเดียวกัน การที่คนไทยไปเที่ยวเกาหลีน้อยลง ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวยังมองว่า การมีสถานที่ท่องเที่ยวที่ค่อนข้างจำกัดและความนิยมที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราวจากภาพยนตร์และซีรีส์ ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นักท่องเที่ยวไทยหันไปสนใจประเทศอื่นๆ
ในทางกลับกัน จีนและญี่ปุ่นกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวไทยที่ต้องการหลีกเลี่ยงปัญหาในการเดินทางไปเกาหลีใต้ โดยนอกจากจะมีสถานที่ท่องเที่ยวมากขึ้นแล้ว จีนและญี่ปุ่นยังเสนอสิ่งจูงใจที่ไม่ใช่การเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวอีก 2 อย่างที่สำคัญสำหรับชาวไทย ได้แก่ การเข้าประเทศโดยไม่ต้องขอวีซ่าและเป็นตัวเลือกที่ราคาไม่แพง รวมถึงทิวทัศน์ที่น่าตื่นตาตื่นใจและบรรยากาศที่ดี
ยุทธชัย สุนทรรัตนเวช รองประธานสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (TTAA) กล่าวว่า จีนเป็นประเทศที่น่าสนใจกว่า เพราะมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติและประวัติศาสตร์ที่สวยงามมากมาย และค่าใช้จ่ายในการเดินทางก็ไม่แพงมากนัก โดยทัวร์จีน 4 วันมีราคาประมาณ 22,000 บาทต่อคน ซึ่งถูกกว่าทัวร์เกาหลีใต้ที่มีระยะเวลาใกล้เคียงกันถึง 8,000 บาท
หลังจากที่จีนยกเลิกการขอวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวไทยเมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา คาดว่าจะมีคนไทยเดินทางไปจีนถึง 1.2 ล้านคนในปีนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าจากปี 2019 และด้วยความต้องการที่เพิ่มขึ้น การบินไทยจึงเพิ่มจำนวนเที่ยวบินไปจีนจาก 7 เที่ยวบิน เป็น 11 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไปและกลับจากปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และคุนหมิง มณฑลยูนนาน
ญี่ปุ่นก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวไทย เนื่องจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลง ทำให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางถูกลง นอกจากนี้ญี่ปุ่นยังมีเมืองใหญ่ที่น่าตื่นตาตื่นใจ ภูมิทัศน์ที่สวยงาม และวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์
กลับมาที่เกาหลีใต้ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวบอกว่า ยังไม่รู้สึกถึงผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากการรณรงค์คว่ำบาตร โดย “เราไม่ค่อยรู้เรื่องการลดลงของนักท่องเที่ยวชาวไทย” ผู้จัดการของสมาคมตัวแทนการท่องเที่ยวเกาหลีกล่าวในรายงานของ Nikkei Asia
อย่างไรก็ตาม เกาหลีใต้พยายามรักษาตำแหน่งของตนในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่สำคัญในเอเชีย ด้วยการประกาศวีซ่าใหม่สำหรับผู้ที่ชื่นชอบวัฒนธรรมป๊อปของเกาหลีใต้โดยเฉพาะ Hallyu Visa จะอนุญาตให้ผู้ที่ไม่ใช่พลเมืองลงทะเบียนเรียนในสถาบันศิลปะการแสดงท้องถิ่น และอยู่ในประเทศได้นานถึง 2 ปี
อ้างอิง: