รัฐมนตรีคลังเผย เงินบาทที่อ่อนขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน มีโอกาสหนุนมูลค่าส่งออกไทยทั้งปีนี้ให้พลิกบวกได้ พร้อมจับตาสถานการณ์ต่อสู้กับเงินเฟ้อของประเทศที่พัฒนาทั้งหลาย เช่น สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป ที่อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง
วันนี้ (16 มิถุนายน) อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า พื้นฐานของเศรษฐกิจไทยนั้นยังมีความแข็งแกร่ง แม้ว่าจะมีความกังวลเกี่ยวกับการส่งออก ซึ่งมีแนวโน้มจะติดลบในเชิงปริมาณ แต่ในเชิงมูลค่าอาคมมองว่ายังมีโอกาสที่จะไม่ติดลบ เนื่องจากการอ่อนค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าขึ้นราว 0.17% (YTD) เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ โดยเคลื่อนไหวอยู่ที่ราว 34.6670 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในวันนี้
อาคมระบุอีกว่า สำหรับปัจจัยที่ต้องจับตาในช่วงครึ่งหลังของปีนี้คือ สถานการณ์การต่อสู้กับเงินเฟ้อของประเทศที่พัฒนาทั้งหลาย เช่น สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป ถ้าสัญญาณออกมาดีนั้นก็น่าจะเป็นผลบวกกับเศรษฐกิจไทย เนื่องจากเศรษฐกิจไทยผูกพันอยู่กับเศรษฐกิจโลก
ตามการประมาณการของการส่งออกไทยล่าสุดของ SCB EIC คาดการณ์ว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยทั้งปีนี้จะติดลบ 0.5% หนักกว่าประมาณการการส่งออกสินค้าของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ติดลบ 0.1%
นอกจากนี้อาคมยังเปิดเผยอีกว่า ในการประชุมขององค์กรคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์นานาชาติ หรือ International Organization of Securities Commissions (IOSCO) ประจำปีนี้ มีประเด็นการหารือหลักเกี่ยวกับทิศทางการกําหนดนโยบาย มาตรการทางด้านการกํากับดูแลตลาด และความร่วมมือระหว่างภูมิภาคทั่วโลก
โดยในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไทยได้เน้นย้ำเกี่ยวกับประเด็นสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ การคุ้มครองนักลงทุน, การสนับสนุนตลาดคริปโตเคอร์เรนซีและตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงเทคโนโลยี ให้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทมากขึ้น, และการคลังยั่งยืน (Sustainable Finance) เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาวะภูมิอากาศ
“เกี่ยวกับการให้ความคุ้มครองกับนักลงทุน เนื่องจากตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นที่ระดมเงินสำหรับนักลงทุนผู้มีเงินออม เป็นการลงทุนเพื่อหวังผลตอบแทน เพราะฉะนั้นจึงต้องดูแลเงินลงทุนของนักลงทุนเหล่านี้เป็นอย่างดี” อาคมกล่าว