เงินบาทแข็งค่าเร็วสู่ระดับ 36.68 บาทต่อดอลลาร์ ทำสถิติสูงสุดในรอบ 7 สัปดาห์ หลังต่างชาติแห่ซื้อบอนด์ระยะสั้นกว่า 7 หมื่นล้านบาทภายใน 3 วัน นักวิเคราะห์คาดอาจแตะระดับ 36.50 บาทต่อดอลลาร์ หากเงินเฟ้อสหรัฐฯ ชะลอตามคาดการณ์ตลาด มองเลือกตั้งกลางเทอมไม่มีผลระยะสั้น
รุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการสายงานวางแผนโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ระบุว่า ค่าเงินบาทในวันนี้ (9 พฤศจิกายน) แข็งค่าขึ้นค่อนข้างเร็ว โดยแข็งค่าขึ้นจากระดับปิดในวันก่อนหน้าที่ 37.27 บาทต่อดอลลาร์ มาอยู่ที่ 36.68 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นการแข็งค่าสูงสุดในรอบ 7 สัปดาห์ โดยปัจจัยหลักมาจากกระแสเงินทุนไหลเข้าของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในบอนด์ระยะสั้นของไทยถึง 7 หมื่นล้านบาทในช่วง 3 วันทำการที่ผ่านมา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- กูรูชี้ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์กำลังเขย่าห่วงโซ่การผลิตโลก เตือนไทยมัวแต่เหยียบเรือสองแคม สุดท้ายอาจตกขบวน
- วิเคราะห์ 5 สัญญาณ บ่งชี้ เงินเฟ้อ โลกใกล้ถึงจุดพีค
- ต่างชาติแห่ปักหมุด ลงทุนเวียดนาม ยอด FDI พุ่งแซงไทยแบบไม่เห็นฝุ่น สัญญาณบ่งชี้ ไทยเริ่มไร้เสน่ห์?
“Sentiment ของดอลลาร์ที่แผ่วลงหลังประธาน Fed ได้ส่งสัญญาณในการประชุม FOMC ล่าสุดว่าอาจจะเริ่มพิจารณาชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยได้แม้ว่าจะยังเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยสู้เงินเฟ้ออยู่ โดยตลาดมองว่าสหรัฐฯ อาจปรับขึ้นดอกเบี้ยเพียง 0.50% ในเดือนธันวาคม ทำให้ตลาดเริ่มทยอยลดสถานะการถือครองดอลลาร์” รุ่งกล่าว
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น สถานการณ์ด้านพลังงานของยุโรปที่ลดความตึงเครียดลง หลังจาก EU สำรองก๊าซธรรมชาติได้เพียงพอสำหรับฤดูหนาว, การส่งสัญญาณผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิดของจีน รวมถึงปัจจัยภายในประเทศของไทยเองที่เริ่มดูดีขึ้นจากเงินเฟ้อที่ชะลอตัว การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่มีความต่อเนื่อง โดยเฉพาะในภาคท่องเที่ยว จนทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดในเดือนกันยายนกลับมาเป็นบวก ก็ล้วนเป็นปัจจัยที่หนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น
“ตอนนี้ตลาดมองว่า Terminal Rate ของ Fed น่าจะอยู่ที่ 5-5.25% ไม่น่าจะถึง 6% ทำให้ดอลลาร์มีแรงหนุนน้อยลง ตลาดจึงเริ่มกลับมาเปิดรับความเสี่ยง ซึ่งส่วนหนึ่งของ 7 หมื่นล้านบาทที่ไหลเข้ามาในตลาดบอนด์ไทยอาจจะเข้าพักรอเพื่อซื้อหุ้นไทยก็ได้ แต่ก็ต้องระวังเพราะทั้งหมดเป็นตัวสั้น หากมีสถานการณ์ที่ทำให้ Sentiment พลิกกลับ บาทก็จะกลับไปอ่อนได้รวดเร็วเช่นกัน” รุ่งกล่าว
รุ่งระบุว่า ปัจจัยที่ต้องติดตามในช่วงนี้คือการแถลงตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ (10 พฤศจิกายน) ซึ่งหากตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไปและเงินเฟ้อพื้นฐานออกมาชะลอตัวลงตามคาดของตลาด เงินดอลลาร์ก็จะมีแนวโน้มอ่อนค่าต่อไป อย่างไรก็ดี ตัวเลขออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ โดยเฉพาะเงินเฟ้อในภาคบริการ ดอลลาร์จะพลิกกลับมาแข็งค่า
“เรามองว่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าไปถึง 36.50 บาทต่อดอลลาร์ แต่ระหว่างทางอาจมีเด้งขึ้นเด้งลงบ้าง การเคลื่อนไหวในกรอบ 30-40 สตางค์ต่อวันในช่วงนี้ไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติ และเราคาดว่าความผันผวนในลักษณะนี้จะลากยาวไปจนถึงสิ้นปี” รุ่งกล่าว
สำหรับปัจจัยเรื่องการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ ประเมินว่า เรื่องนี้จะยังไม่มีผลต่อค่าเงินดอลลาร์ หรือทิศทางการดำเนินนโยบายของ Fed ในระยะสั้น เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังขยายตัวได้ดีอยู่ แต่ในระยะยาวหากผลการเลือกตั้งออกมาตามสมมติฐานของตลาด คือ รีพับลิกันครองเสียงข้างมากในสภาล่าง และทั้งสองพรรคมีเสียงสูสีกันในวุฒิสภา อาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขาดแรงหนุนจากนโยบายการคลังในระยะข้างหน้า เพราะการผ่านแผนเศรษฐกิจต่างๆ ของไบเดนจะทำได้ยากขึ้น
“หากพิจารณาจากแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีความเสี่ยงจะชะลอตัวลงและเข้าสู่ภาวะถดถอยในระยะข้างหน้า การไม่มีแรงหนุนจากนโยบายการคลังจะทำให้ Fed ต้องหยุดขึ้นดอกเบี้ย ทำให้มองไปไกลๆ เงินดอลลาร์ยังมีแนวโน้มอ่อนค่า” รุ่งกล่าว
