“นี่วัยรุ่นอโยธยา จอมคาถา!!”
คือคำแรกที่ขึ้นมาในหัวขณะดูภาพยนตร์เรื่อง ‘อโยธยา มหาละลวย’ ภาพยนตร์พีเรียดโรแมนติกแอ็กชันที่แหกทุกกฎเกณฑ์ของหนังพีเรียดไทย
ต้องยอมรับว่า ถึงแม้ THE STANDARD POP จะได้มีโอกาสสัมภาษณ์สองพระนางอย่าง เจมส์-จิรายุ ตั้งศรีสุข และ โบว์-เมลดา สุศรี รวมถึงได้ดูตัวอย่างภาพยนตร์อย่างละเอียดมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราคาดหวังกับเนื้อหาของภาพยนตร์เรื่องนี้เท่าไรนัก ทั้งยังทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองได้รับการสปอยเนื้อหาจากการหาข้อมูลของหนังเรื่องนี้อยู่มาก
ด้วยความที่ตัวภาพยนตร์โปรยมาว่า นี่คือภาพยนตร์รักสายมู เรื่องราวของ ‘เรียวสึ’ สายเลือดยามาดะคนสุดท้ายที่ต้องออกเดินทางพร้อมกับเพื่อนสนิทอย่าง ‘ทอง’ เพื่อตามหาแม่และนางอันเป็นที่รัก พร้อมกับหนีการตามล่าของพญาคชบาล ซึ่งค่อนข้างขัดกับสิ่งที่ ‘เจมส์จิ’ นักแสดงนำของเรื่อง ขายเราเอาไว้ในการสัมภาษณ์ว่านี่คือภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราวชีวิตของวัยรุ่นจริงๆ ในกรุงศรีอยุธยา
เป็นความขัดแย้งที่ทำให้เราสงสัยมาตลอดว่า แล้วความเป็นวัยรุ่นมันจะไปอยู่ตรงไหนในเส้นเรื่องที่ดูตึงเครียดแบบนี้กัน
จนกระทั่งมีโอกาสได้ดูภาพยนตร์ ซึ่งมันทำให้พบว่าจริงๆ แล้วเราแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้เลย และยิ่งทำให้เรารู้สึกคาดไม่ถึง ชอบใจ และเพลิดเพลินกับการก้าวออกจากกรอบของหนังพีเรียดไทยในครั้งนี้มากขึ้นไปอีก
อย่างที่บอกว่าตัวอย่างและข้อมูลของภาพยนตร์ดูเน้นไปที่การใช้เวทมนตร์และแอ็กชันเป็นหลัก แต่ส่วนตัวแล้วเราค่อนข้างเห็นด้วยกับเจมส์จิ ที่บอกว่านี่คือภาพยนตร์รักวัยรุ่น ที่ตีแผ่ชีวิตของวัยรุ่นจริงๆ ในสมัยอยุธยา
ด้วยความที่โลเคชันหลักของเรื่องคือโรงชำเรา หรือผับบาร์ในปัจจุบันที่ชายหนุ่มและหญิงสาวไปสังสรรค์กัน มันจึงทำให้เราเห็นคาแรกเตอร์ความก๋ากั่น และห้าวหาญของหนุ่มสาววัยแรกรุ่นได้อย่างเด่นชัด ตั้งแต่การสักยันต์อาคมที่เป็นเหมือนแก็ดเจ็ตของเด็กในยุคนั้น การยกพวกตีกันในร้านเหล้า หรือที่เราต้องยกนิ้วให้เลย ก็คือการร้องฉ่อยจีบกันระว่างแขกของโรงชำเรา และเหล่าอี๋จี (นักร้อง นางรำในโรงชำเรา) เป็นการร้องแบบด้นสดที่ไม่เคยมีภาพยนตร์หรือละครเรื่องไหนหยิบมาให้เราเห็นชัดๆ แบบนี้ และยังทำให้เรารู้สึกว้าวกับสกิลแบบนี้มากจริงๆ
ยังไม่รวมถึงคอสตูมของนักแสดงหญิงที่สุดแซ่บ ด้วยความที่นางเอกอย่างออสร้อยมีอาชีพเป็นอี๋จีในโรงชำเรา ทำให้เสื้อผ้าของเธอและเพื่อนๆ จะมีความเซ็กซี่และมีสีสันมากกว่าการแต่งตัวของตัวละครทั่วไปที่เราเคยเห็นกันมาในภาพยนตร์หรือละครย้อนยุคอื่นๆ
นอกจากเรื่องความพลุ่งพล่านของบรรดาวัยรุ่นแล้ว อีกหนึ่งความน่าสนใจของเรื่องนี้คือ การหยิบตัวละครที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์มาเป็นตัวร้ายของเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นออกญาคชบาล หรือพระเพทราชา ผู้ถวายสัตย์กับพระเจ้าอยู่หัวปราสาททองไว้ว่า จะกำจัดสายเลือดยามาดะให้สิ้น หรือขวัญ ลูกของออกญาคชบาล ที่ต้องมาแย่งชิงออสร้อยกับเรียวสึในเรื่อง ซึ่งในประวัติศาสตร์ตัวละครตัวนี้ก็คือเจ้าพระขวัญ ที่ต่อมาครองราชย์เป็นพระเจ้าเสือ ผู้คิดค้นท่าแม่ไม้มวยไทย
ด้วยความที่ตัวละครที่หยิบมานั้น เป็นผู้ที่มีฝีมือและความสามารถจริงๆ ในประวัติศาสตร์ แถมยังจะกลายเป็นกษัตริย์ในอนาคตอีกด้วย ยิ่งทำให้การวางสมดุลของความเป็นตัวร้าย และตัวตนจริงในประวัติศาสตร์เป็นเรื่องยาก แต่ ใหม่-ภวัต พนังคศิริ ผู้กำกับ และ วิโรจน์ ศรีสิทธิ์เสรีอมร ผู้เขียนบท กลับออกแบบตัวละครของพวกเขาได้ดี จนเราไม่ได้รู้สึกเกลียดตัวร้ายเหล่านี้เท่าไรนัก และยังเป็นการให้เกียรติตัวตนจริงของพวกเขามากๆ ด้วย
สิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้แตกต่างจากภาพยนตร์พีเรียดทั่วไป นอกจากชีวิตวัยมันของเหล่าเยาวรุ่นอโยธยา ก็คือการมอบคุณค่าให้กับเหล่าอี๋จี ที่มักถูกตัดสินว่าเป็นผู้หญิงไร้ค่าในละครหรือภาพยนตร์โดยทั่วไป แต่ใน อโยธยา มหาละลวย พวกเธอกลับกลายเป็นกลุ่มคนที่มีเสน่ห์ และล้ำค่าที่สุดของเรื่อง
รวมถึงทำให้เห็นความอ่อนโยนและเข้มแข็งของสตรีภายใต้ปิตาธิปไตยอันหนักแน่น ตั้งแต่การต่อสู้เพื่อเนื้อกายของตัวเองและเพื่อคนของตัวเอง ไปจนถึงการอดทนอนกลั้นภายใต้อำนาจที่มากกว่าของผู้ชายซึ่งยากจะขัดขืน
สุดท้ายแม้ว่าภาพยนตร์ อโยธยา มหาละลวย จะมีจุดให้ขัดใจอยู่เล็กน้อย แต่เรากลับเพลิดเพลินกับมัน เหมือนว่ามีมนตร์มหาละลวยฟุ้งกระจายอยู่จนทั่วโรง ด้วยความสนุกของเรื่องราว เซอร์ไพรส์ที่เกิดขึ้น และสีสันของตัวละครที่แตกต่าง ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นภาพยนตร์ที่หลุดกรอบของพีเรียดไทยออกมาได้อย่างดี เป็นภาพยนตร์รักวัยรุ่นที่อยากให้ทุกคนเข้าไปต้องมนตร์กันแบบเต็มๆ ด้วยตัวเองในโรงภาพยนตร์ ตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคมเป็นต้นไป
ชมตัวอย่างภาพยนตร์ อโยธยา มหาละลวย ได้ที่
บทความที่เกี่ยวข้อง
