โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แถลงยืนยันช่วงเย็นวานนี้ (1 สิงหาคม) ว่า อัยมาน อัล ซาวาฮิรี ผู้นำสูงสุดของกลุ่มอัลกออิดะห์ เสียชีวิตแล้ว ด้วยฝีมือของโดรนที่กองทัพสหรัฐฯ ส่งไปปฏิบัติการโจมตีถึงที่ซ่อนตัวในกรุงคาบูลของอัฟกานิสถาน โดยถือเป็นการสิ้นสุด ‘เส้นทางแห่งการฆาตกรรมและก่อความรุนแรงต่อพลเมืองอเมริกัน’ ของชายที่เชื่อว่าเป็นหนึ่งในสถาปนิกคนสำคัญ ซึ่งอยู่เบื้องหลังแผนวินาศกรรม 9/11 และการก่อการร้ายอีกหลายเหตุการณ์
“ผู้คนทั่วโลกไม่ต้องกลัวนักฆ่าที่โหดเหี้ยมและเด็ดเดี่ยวผู้นี้อีกต่อไป สหรัฐฯ ยังคงแสดงความมุ่งมั่นและความสามารถของเราในการปกป้องชาวอเมริกันจากผู้ที่พยายามทำร้ายเรา” ไบเดนประกาศกร้าวในการแถลงจากระเบียงห้องสีน้ำเงินของทำเนียบขาว
และนี่คือสิ่งที่เราควรรู้เกี่ยวกับซาวาฮิรี และปฏิบัติการปลิดชีพที่เกิดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (31 กรกฎาคม)
ซาวาฮิรีขึ้นสู่อำนาจได้อย่างไร?
ซาวาฮิรี ซึ่งถือกำเนิดในปี 1951 เติบโตในย่านชนชั้นสูงในกรุงไคโรของอียิปต์ โดยเป็นบุตรชายของแพทย์คนสำคัญ และเป็นหลานของนักวิชาการที่เป็นที่รู้จัก
โดยปู่ของซาวาฮิรี คือ รอบีอา อัล ซาวาฮิรี (Rabia’a al-Zawahiri) เป็นครูสอนศาสนาที่มหาวิทยาลัยอัลอัซฮัรในกรุงไคโร ขณะที่ลุงทวดของเขาคือ อับเดล ราห์มัน อัซซาม (Abdel Rahman Azzam) เป็นเลขานุการคนแรกของสันนิบาตอาหรับ
ในปี 1981 ซาวาฮิรีซึ่งเติบโตเป็นแพทย์หนุ่มในวัย 30 ปี ถูกคุมขังจากการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลอบสังหาร อันวาร์ ซาดัต ประธานาธิบดีอียิปต์ในขณะนั้น โดยในการให้สัมภาษณ์ระหว่างถูกจำคุกในเรือนจำ เขากล่าวว่า “เราต้องการบอกให้ทั้งโลกรู้ว่าเราเป็นใคร” ขณะที่เขาภาคภูมิใจที่มีส่วนสนับสนุนแผนลอบสังหารประธานาธิบดีซาดัต เนื่องจากไม่พอใจที่พยายามสร้างสันติภาพ และมีท่าทีเป็นมิตรกับอิสราเอล
ในตอนนั้นเขาได้กลายเป็นผู้ก่อการร้ายที่พยายามสมคบคิดและโค่นล้มรัฐบาลอียิปต์ ด้วยความหวังที่จะเปลี่ยนการปกครองของประเทศให้เป็นไปตามหลักการปกครองของศาสนาอิสลาม แบบ ‘มูลฐานนิยม’ หรือ Fundamentalism ที่ยึดมั่นการตีความตามพระคัมภีร์อัลกุรอาน อย่างเข้มงวดทุกตัวอักษร
ความสัมพันธ์ของซาวาฮิรี กับอุซามะห์ บิน ลาดิน
ซาวาฮิรีเดินทางออกจากอียิปต์ในปี 1985 และเดินทางไปยังเมืองเปชวาร์ของปากีสถาน โดยทำงานเป็นศัลยแพทย์ผู้ดูแลนักรบที่เข้าร่วมสงครามต่อต้านกองทัพโซเวียตในอัฟกานิสถาน
และเป็นที่นี่เองที่ทำให้เขาได้พบกับ บิน ลาดิน ผู้นำนักรบมูจาฮิดีนคนสำคัญ ซึ่งละทิ้งชีวิตบุตรชายมหาเศรษฐี และเข้าร่วมทำสงครามต่อต้านโซเวียตในอัฟกานิสถาน ทั้งสองกลายเป็นเพื่อนที่สนิทสนมและมีความเชื่อมโยงกันในฐานะชาวอาหรับอัฟกัน
หลังกลับมาพบกันอีกครั้ง บิน ลาดิน และซาวาฮิรี ได้ปรากฏตัวพร้อมกันช่วงต้นปี 1998 และประกาศจัดตั้งขบวนการแนวหน้าอิสลามโลก เพื่อสนับสนุนนักรบญิฮาดในการต่อต้านชาวยิวและนักรบครูเสด ซึ่งถือเป็นการหลอมรวมกันระหว่างกลุ่มญิฮาดอิสลามอียิปต์ และอัลกออิดะห์ อย่างเป็นทางการ
ในช่วงหนึ่งซาวาฮิรีเคยทำหน้าที่เป็นแพทย์ประจำตัวของบิน ลาดิน โดยเขาเคยประกาศในการรวมกลุ่มก่อการร้ายเข้ากับบิน ลาดิน เมื่อเดือนพฤษภาคมปี 1998 ว่า “เรากำลังทำงานกับพี่ชาย บิน ลาดิน เรารู้จักเขามากว่า 10 ปีแล้ว เราต่อสู้กับเขาที่นี่ในอัฟกานิสถาน”
ซึ่งทั้งสองได้ลงนามในปฏิญญาฟัตวาที่ระบุชัดเจนว่า “คำพิพากษาให้สังหารและต่อสู้กับชาวอเมริกันและพันธมิตรของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นพลเรือนหรือทหาร เป็นหน้าที่ของชาวมุสลิมทุกคน”
ซาวาฮิรีมีบทบาทอย่างไรในการโจมตีของอัลกออิดะห์ต่อสหรัฐฯ?
หลังประกาศปฏิญญาฟัตวาเพียงไม่นาน ซาวาฮิรี และบิน ลาดิน ก็เริ่มแผนการโจมตีต่อต้านสหรัฐฯ ครั้งใหญ่ คือการระเบิดฆ่าตัวตายโจมตีสถานทูตสหรัฐฯ ในเคนยาและแทนซาเนีย ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่า 200 คน และบาดเจ็บมากกว่า 5,000 คน
จากนั้นในเดือนตุลาคม ปี 2000 กลุ่มอัลกออิดะห์ได้ส่งนักรบนั่งเรือยางจุดระเบิดฆ่าตัวตาย โจมตีเรือรบ USS Cole ที่จอดเทียบท่าเติมน้ำมันในเยเมน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 17 คน และบาดเจ็บ 39 คน
ในปีถัดมาเกิดเหตุก่อการร้ายครั้งใหญ่ที่สุดในดินแดนสหรัฐฯ ที่ทำให้ทั่วโลกช็อก และรู้จักชื่อของกลุ่มอัลกออิดะห์ รวมถึงบิน ลาดิน และซาวาฮิรี คือการก่อวินาศกรรม 9/11 เมื่อวันที่ 11 กันยายน ปี 2001 ด้วยการไฮแจ็ค หรือปล้นเครื่องบิน 4 ลำ โจมตีตึกแฝด World Trade Center และอาคารเพนตากอน หรือกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ซึ่งคร่าชีวิตประชาชนไปเกือบ 3,000 คน โดยเครื่องบินลำที่ 4 ที่ถูกปล้นนั้นมีเป้าหมายไปที่อาคารรัฐสภาในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. แต่ถูกขัดขวางจากกลุ่มผู้โดยสารที่พยายามต่อสู้ ทำให้เครื่องบินตกลงในทุ่งหญ้าในรัฐเพนซิลเวเนีย
ช่วงก่อนและหลังเหตุวินาศกรรม 9/11 ซาวาฮิรีได้ปรากฏตัวผ่านคลิปวิดีโอและเทปบันทึกเสียงหลายครั้ง เรียกร้องให้มีการโจมตีเป้าหมายของชาติตะวันตก และขอการสนับสนุนการกระทำของพวกเขาจากชาวมุสลิมทั่วโลก
ชาวอียิปต์บางคนเดินตามรอยซาวาฮิรี จากความโกรธแค้นที่มีต่อสหรัฐฯ หลังจากที่สำนักข่าวกรองกลาง หรือ CIA หยุดสนับสนุนชาวอาหรับอัฟกันในสงครามต่อต้านโซเวียต หลังจากที่กองทัพโซเวียตถอนกำลังทหารออกจากอัฟกานิสถาน จนเป็นเหตุให้อัฟกานิสถานตกอยู่ภายใต้ภาวะความโกลาหลและไร้รัฐบาล ซึ่งนำไปสู่สงครามกลางเมือง จากการสู้รบระหว่างกองกำลังชนเผ่าต่างๆ
ความโกรธแค้นของซาวาฮิรีที่มีต่อสหรัฐฯ เพิ่มพูนขึ้นอีกในปี 1998 เมื่อทางการสหรัฐฯ ผลักดันให้มีการส่งผู้ร้ายข้ามแดน โดยส่งตัวสมาชิกนักรบญิฮาดชาวอียิปต์จำนวนหนึ่งจากแอลเบเนียไปยังอียิปต์ เพื่อไต่สวนดำเนินคดีข้อหาก่อการร้าย
โมฮัมหมัด น้องชายของซาวาฮิรี ซึ่งเป็นสมาชิกนักรบญิฮาดอิสลามอียิปต์ กล่าวต่อ CNN ในปี 2012 ว่า “ก่อนที่คุณจะเรียกผมและพี่ชายว่าผู้ก่อการร้าย มานิยามความหมายของมันเสียก่อน ถ้ามันหมายถึงผู้ที่เป็นฆาตกรกระหายเลือด ถ้าอย่างนั้นนี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เราเป็น” เขากล่าว พร้อมอ้างเหตุผลว่า
“เราเพียงแค่พยายามทวงคืนสิทธิบางส่วนที่ถูกมหาอำนาจตะวันตกแย่งชิงไปในช่วงประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา”
ซาวาฮิรีเริ่มเป็นผู้นำอัลกออิดะห์ตั้งแต่เมื่อไร?
ซาวาฮิรีกลายเป็นผู้นำอัลกออิดะห์หลังจากที่กองทัพสหรัฐฯ สังหารบิน ลาดิน ในปี 2011
เขามีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา นับตั้งแต่ที่สหรัฐฯ เปิดฉากทำสงครามบุกอัฟกานิสถาน เพื่อกวาดล้างที่ซ่องสุมของกลุ่มก่อการร้าย ภายหลังเหตุวินาศกรรม 9/11
ครั้งหนึ่งเขารอดพ้นการโจมตีของกองทัพสหรัฐฯ ไปได้อย่างฉิวเฉียด ระหว่างหลบซ่อนตัวอยู่ในแถบเทือกเขาในภูมิภาคโทราโบราของอัฟกานิสถาน แต่การโจมตีครั้งนั้นคร่าชีวิตภรรยาและลูกของเขา
ปีเตอร์ เบอร์เกน (Peter Bergen) นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงของ CNN กล่าวถึงซาวาฮิรีว่าไม่ใช่ผู้นำที่มีเสน่ห์ดึงดูดแบบบิน ลาดิน พร้อมทั้งชี้ถึงเหตุผลที่ทำให้เขาถูกสังหารจากปฏิบัติการล่าสุดของกองทัพสหรัฐฯ
“เขาไม่ได้พิสูจน์ว่าเป็นผู้นำที่มีความสามารถมากของอัลกออิดะห์ แต่เหตุผลที่ผมคิดว่าทำให้เขาถูกสังหารในอัฟกานิสถานช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาคือ เขาเริ่มที่จะยอมเสี่ยงมากขึ้น
“ตามที่องค์การสหประชาชาติระบุ เขาได้เผยแพร่วิดีโอจำนวนมากอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทุกครั้งที่คุณบันทึกวิดีโอ จะมีห่วงโซ่ของการดูแลวิดีโอนั้น การนำมันออกไปจากที่นั่น และอาจมีใครบางคนถ่ายวิดีโอ ดังนั้นเขาจึงเริ่มโดดเด่นมากขึ้น และผมคิดว่า สำหรับผมแล้วดูเหมือนว่านั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาถูกตรวจพบ”
ในการบรรยายสรุปโดยคณะผู้เชี่ยวชาญขององค์การสหประชาชาติเมื่อสัปดาห์ที่แล้วพบว่า ความสะดวกสบายและความสามารถในการติดต่อสื่อสารของซาวาฮิรีที่ ‘เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด’ ประจวบเหมาะกับช่วงที่กลุ่มตาลีบันเข้ายึดครองอัฟกานิสถาน และมีการรวมอำนาจของกลุ่มติดอาวุธที่เป็นพันธมิตรสำคัญของอัลกออิดะห์
ขณะที่ซาวาฮิรีได้ส่งข้อความผ่านคลิปเสียงสู่สาธารณะเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม โดยเครือข่ายด้านสื่อของอัลกออิดะห์เป็นผู้เผยแพร่
สหรัฐฯ สังหารซาวาฮิรีได้อย่างไร?
“สหรัฐฯ ปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายอย่างแม่นยำในอัฟกานิสถาน โดยพุ่งเป้าไปที่ซาวาฮิรีซึ่งพักพิงอยู่ในเซฟเฮาส์ในกรุงคาบูล” เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลวอชิงตันกล่าวกับผู้สื่อข่าวในการแถลงเมื่อวันจันทร์
จากข้อมูลที่ทางการสหรัฐฯ ระบุ ‘ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศที่ออกแบบมาอย่างแม่นยำ’ โดยใช้ขีปนาวุธเฮลล์ไฟร์ 2 ลูก เกิดขึ้นเมื่อเวลา 21.48 น. ของวันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม ตามเวลาในสหรัฐฯ หรือประมาณ 06.18 น. ตามเวลาในกรุงคาบูล
โดยกองทัพสหรัฐฯ ใช้โดรน หรืออากาศยานไร้คนขับ ที่ได้รับอนุญาตจากไบเดนในการโจมตี ซึ่งการตัดสินใจเริ่มต้นปฏิบัติการ ‘เด็ดหัวผู้นำอัลกออิดะห์’ มีขึ้นหลังการประชุมหลายสัปดาห์ระหว่างไบเดนกับคณะรัฐมนตรีและที่ปรึกษา
ในช่วงที่ดำเนินปฏิบัติการโจมตีนั้น ไม่มีทหารหรือบุคลากรชาวอเมริกันอยู่ในภาคสนามในคาบูล
ภาพ: Photo by Maher Attar/Sygma via Getty Images
อ้างอิง: