AT&T บริษัทสื่อสารโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ได้ออกมาประกาศอย่างเป็นทางการว่าได้บรรลุข้อตกลงในการควบรวมกิจการของ WarnerMedia ยักษ์ใหญ่ในวงการมีเดียคอนเทนต์ และเอ็นเตอร์เทนเมนต์ เพื่อปูทางให้ทั้งสองแห่งกลายร่างเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการสตรีมมิงที่ใหญ่ที่สุดในฮอลลีวูด แข่งขันกับสื่อยักษ์ใหญ่อย่าง Netflix และ Disney
หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทม์ส รายงานว่า ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว AT&T จะปลดการซื้อกิจการ Time Warner มูลค่า 85,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งปิดตัวไปเมื่อไม่ถึงสามปีที่แล้ว และก่อตั้งบริษัทสื่อใหม่กับ Discovery ขณะเดียวกันข้อตกลงนี้จะสร้างธุรกิจใหม่แยกต่างหากจาก AT&T ซึ่งอาจมีมูลค่ารวมหนี้สินมากถึง 150,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่ AT&T กล่าวว่า บริษัทจะได้รับเงินคิดเป็นมูลค่ารวม 43,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ครอบคลุมถึงเงินสด หนี้ และหนี้บางส่วนที่ขอลดอัตราดอกเบี้ย (Retention) ของทาง WarnerMedia โดยบริษัทใหม่ที่ตั้งขึ้นมานี้ AT&T จะเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ 71% ขณะที่ Discovery จะอยู่ที่ 29%
รายงานระบุว่า หากได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานที่กำกับดูแล ข้อตกลงดังกล่าวจะช่วยพลิกแผนระยะยาวของ AT&T ในการรวมเนื้อหาและการจัดจำหน่ายคอนเทนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และคาดว่าข้อตกลงดังกล่าวจะสามารถดำเนินการได้อย่างเรียบร้อย ปิดดีลได้ภายในกลางปี 2022 โดยมี เดวิด ซาสลาฟ ประธานและซีอีโอของ Discovery นั่งตำแหน่งประธานของบริษัทใหม่ พร้อมด้วยทีมคณะกรรมการบริหาร 13 คน ที่ 7 คนได้รับการแต่งตั้งจาก AT&T ส่วนอีก 6 คนได้รับการแต่งตั้งจาก Discovery
ความเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนทิศทางที่สำคัญสำหรับ AT&T หลังต้องงัดข้อกับทางกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ที่ต่อต้านการเข้าซื้อกิจการ Time Warner Inc. เพราะเห็นว่าจะเป็นการผูกขาด อีกทั้งยังเป็นความพยายามครั้งที่สองในปีนี้ของ AT&T ที่เข้าหากิจการที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับธุรกิจบรอดแบนด์และธุรกิจไร้สาย
ทั้งนี้ สำนักข่าว AP ได้รวบรวมความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินว่าการควบรวมกิจการครั้งนี้ จะส่งผลต่อผู้บริโภค นักลงทุน พนักงาน และคู่แข่งในอุตสาหกรรมอย่างไร
โดยสำหรับผู้บริโภคในฐานะผู้ชม AP ระบุว่า ขณะนี้จะยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่เป็นสมาชิก HBO Max และ Discovery+ แต่ในอนาคตข้างหน้าสมาชิกน่าจะได้เห็นการบริการที่คล้ายคลึงกับที่ค่าย Disney ทำ แพ็กเกจ Disney+, Hulu และ ESPN+ ขณะเดียวกันมีแนวโน้มว่าบริษัทใหม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงด้านราคา
สำหรับในส่วนของนักลงทุน AT&T ได้ประกาศก่อนหน้านี้ว่า มีแผนที่จะรีเซ็ตเงินปันผลหลังจากดีลผ่าน โดยจะลดอัตราการจ่ายเงินปันผลซึ่งเป็นเปอร์เซ็นต์ของรายได้สุทธิที่จ่ายให้กับผู้ถือหุ้นในเงินปันผลจากประมาณ 60% เป็นประมาณ 40% เท่ากับว่านักลงทุนจะได้รับเงินปันผลน้อยลง
ส่วนของพนักงาน การควบรวมครั้งนี้หมายถึงการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ ซึ่งหมายความว่าจะต้องมีการปลดพนักงานบางส่วน เพื่อตัดลดค่าใช้จ่ายแล้วนำไปลงทุนในด้านคอนเทนต์กับบริการสตรีมมิง
และสุดท้ายในส่วนของคู่แข่ง โดยเฉพาะ Netflix นักวิเคราะห์มองว่า Netflix จะยังคงเป็นเจ้าตลาดต่อไปไม่เปลี่ยนแปลง ด้วยจำนวนสมาชิก (Subscriber) ทั่วโลกกว่า 200 ล้านคน กระนั้นการควบรวมครั้งนี้ก็ทำให้ Discovery ขึ้นแท่นเป็นรายใหญ่ผู้ให้บริการสตรีมมิง รวมเป็น Big 4 คือ Netflix, Amazon, Disney+ และ Discovery
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง:
