AstraZeneca ระบุผลการทดสอบวัคซีนโควิด-19 ระยะที่ 3 ของทางบริษัทในสหรัฐอเมริกา ชิลี และเปรูในวันนี้ว่า วัคซีนของ Oxford-AstraZeneca มีประสิทธิภาพอยู่ที่ 79% ในการป้องกันการเจ็บป่วยแบบที่มีอาการ และสามารถป้องกันการป้องกันโรคที่มีอาการรุนแรงหรือการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลได้ 100% นอกจากนี้สำหรับกลุ่มผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ประสิทธิภาพของวัคซีนจะอยู่ที่ 80%
การทดสอบในมนุษย์ครั้งนี้ทดสอบกับอาสาสมัครรวม 32,449 คน ในผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปทุกกลุ่มอายุ ผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่อยู่ในสหรัฐอเมริกา แต่ก็มีจำนวนหนึ่งที่อยู่ในชิลีและเปรู การทดสอบนี้ดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียและมหาวิทยาลัยโรเชสเตอร์ ในความร่วมมือกับ AstraZeneca
AstraZeneca ยังระบุว่าคณะกรรมการอิสระด้านความปลอดภัยได้ทำการตรวจสอบเป็นกรณีเฉพาะภายใต้ความช่วยเหลือของกลุ่มนักประสาทวิทยาอิสระสำหรับเรื่องการเกิดลิ่มเลือด เช่นเดียวกับภาวะหลอดเลือดดำในสมองอุดตัน (CVST) ซึ่งเป็นภาวะลิ่มเลือดในสมองที่พบได้ยากมาก ปรากฏว่าคณะทำงานชุดดังกล่าวไม่พบความเสี่ยงของการเกิดลิ่มเลือด หรือเหตุการณ์ใดๆ อันเกิดจากลิ่มเลือดในผู้เข้าร่วมการทดสอบ 21,583 คนที่ได้รับวัคซีนอย่างน้อยหนึ่งโดส และไม่พบเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับ CVST เช่นกัน
ทั้งนี้ศาสตราจารย์ซาราห์ กิลเบิร์ต จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดในสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นผู้ร่วมออกแบบวัคซีน ย้ำถึงความสำคัญในการได้รับวัคซีนอย่างรวดเร็ว เธอระบุว่ามักจะมีผู้ที่ป่วยหลังการได้รับวัคซีนอยู่แล้ว โดยเฉพาะเมื่อมีผู้รับวัคซีนจำนวนมาก แต่นั่นไม่ได้หมายถึงว่าวัคซีนจะมีส่วนกับปัญหาที่เกิดขึ้น ในขณะที่อีกด้านหนึ่งยังมีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 นับพันคนต่อวันทั่วยุโรป
ทั้งนี้ข้อมูลจากการทดสอบดังกล่าวจะถูกวิเคราะห์และจัดเตรียมเพื่อยื่นขอรับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) เพื่อใช้วัคซีนของ Oxford-AstraZeneca ในสหรัฐอเมริกาต่อไป
วัคซีนของ Oxford-AstraZeneca ถูกตั้งคำถามก่อนหน้านี้ หลังมีรายงานว่าผู้ได้รับวัคซีนจำนวนหนึ่งเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตัน กระทั่งหลายประเทศในยุโรปมีการพักการฉีดวัคซีนเป็นการชั่วคราวก่อนจะกลับมาเริ่มฉีดใหม่อีกครั้ง
ภาพ: Johanes Christo / NurPhoto via Getty Images
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง:
