วันนี้ (18 กุมภาพันธ์) ที่อาคารรัฐสภา อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงข้ออภิปรายของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ว่าต้องขอบคุณสมาชิกผู้ทรงเกียรติที่ได้ใช้เวทีรัฐสภาอย่างสร้างสรรค์ ได้กรุณาพูดถึงสิ่งที่กระทรวงสาธารณสุขได้ทำมา ซึ่งสิ่งใดที่ควรจะนำมาปรับปรุงและนำมาปฏิบัติ ให้คำยืนยันว่าได้บันทึกและจะนำไปปฏิบัติให้เกิดผลต่างๆ แต่การอภิปรายของเพื่อนสมาชิกก็ยังมีข้อมูลเก่าๆ เดิมๆ ที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2563 และ 2564 เช่น เรื่องวัคซีนดีหรือไม่ และวิธีการฉีดทางการแพทย์ฉีดถูกวิธีหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องทางวิชาการ ด้วยคณะกรรมการด้านความปลอดภัยในการฉีดวัคซีนต่างๆ ล้วนแล้วแต่เป็นอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านการแพทย์ และผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านสาธารณสุข ตั้งแต่ระดับปลัดกระทรวง อธิบดีกรมควบคุมโรค อธิบดีกรมการแพทย์ ก็ได้ออกมาชี้แจงให้ประชาชนทราบตลอดระยะเวลาอยู่แล้ว
อนุทินกล่าวต่อไปว่า ตนในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ขอยืนยันในข้อกล่าวหาที่ว่าวัคซีนไม่ดี ไร้ประสิทธิภาพ และล่าช้า ที่ผ่านมาทางกระทรวงได้ชี้แจงไปหมดแล้ว และประเด็นเหล่านี้ตนก็เคยถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจตามมาตรา 151 มาแล้ว 2 ครั้ง และสุดท้ายก็ได้รับคะแนนเสียงที่ไว้วางใจอย่างท่วมท้นเกิน 260 เสียง
ดังนั้นวันนี้ควรจะมาพูดถึงเรื่องที่กระทรวงสาธารณสุขตั้งใจที่จะทำต่อไป และให้ความสำคัญที่สุดใน 3 ประเด็นหลัก คือ
- ให้ความสำคัญกับบุคลากรของกระทรวงสาธารณสุขเป็นที่สุด จะต้องทำให้บุคลากรทางการแพทย์ได้รับการสนับสนุนให้มีขวัญและกำลังใจในการทำงานอย่างเต็มศักยภาพ
- ต่อยอดนโยบายเดิม เพิ่มเติมนโยบายใหม่
- ประชาชนต้องได้รับการบริการที่ดีที่สุด ทั้งในภาวะวิกฤตและภาวะปกติ
อนุทินกล่าวอีกว่า ปฏิเสธไม่ได้ว่าประเทศไทยได้ประคองสถานการณ์โควิดมาได้จนถึงปัจจุบันนี้ โดยมีบุคลากรทางการแพทย์เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดความปลอดภัย จึงควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดได้
ดังนั้นกระทรวงสาธารณสุขจึงขอให้บรรจุตำแหน่งข้าราชการให้กับบุคลากรทางการแพทย์ เนื่องจากจะสูญเสียบุคลากรทางการแพทย์ไม่ได้ โดยได้ลงทุนไปกับบุคลากรเป็นอย่างมาก เช่น ด้านการศึกษา การปฏิบัติหน้าที่หน้างาน บุคลากรเหล่านี้คือบุคคลทรงคุณค่า แต่กลับไม่มีสภาพเป็นข้าราชการประจำ และอยู่ได้โดยเงินจากจากโรงพยาบาลและให้ใช้ชื่อว่าเป็นลูกจ้างของโรงพยาบาล แต่แท้จริงแล้วกลับไม่มีความมั่นคง หากยังปล่อยให้เป็นเช่นนี้จะทำให้สูญเสียบุคลากรที่ดีไหลไปยังโรงพยาบาลเอกชน ระบบสาธารณสุขของภาครัฐก็จะถูกกระทบกระเทือน
รัฐบาลชุดนี้ โดยนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีทุกท่าน จึงมีนโยบายให้กระทรวงสาธารณสุขจัดบำรุงขวัญและกำลังใจ โดยการเปิดตำแหน่งให้บุคลากรทางการแพทย์บรรจุเป็นข้าราชการเมื่อปี 2564 ในส่วนที่เป็นข้าราชการอยู่แล้วกระทรวงสาธารณสุขก็พยายามที่จะให้ค่าตอบแทนและค่าเสี่ยงภัยต่างๆ และขณะนี้อยู่ระหว่างการเสนอเรื่องไปยังนายกรัฐมนตรี เพื่อขอเปิดรับตำแหน่งข้าราชการที่ทำงานเบื้องหลังนอกเหนือจากทีมแพทย์และพยาบาลด้วย แต่การเปิดบรรจุที่จะเกิดขึ้นจะต้องสอดรับกับสภาวะงบประมาณของประเทศที่มีอยู่
อนุทินกล่าวด้วยว่า ตามที่นายกรัฐมนตรีได้เคยกล่าวมาแล้วว่าประเทศไทยมีความเข้มแข็งในระบบสาธารณสุขเป็นอันดับที่ 5 ของโลก ดังนั้นเรื่องรายงานเท็จและการเอาใจจากประชาชนจึงไม่เกิดขึ้นกับรัฐบาลชุดนี้ แล้ววันนี้ประเทศไทยสามารถฉีดวัคซีนไปแล้วกว่า 120,000,000 โดส ครอบคลุมกลุ่มประชากรทั่วประเทศไทยแล้ว
“วัคซีนเต็มแขนครับ เต็มแขนจริงๆ และยังมีความพร้อมที่จะฉีดวัคซีนต่อไปจนกว่าโควิดจะหมดไป หรือจนกว่าจะกลายเป็นโรคปกติทั่วไป”
อนุทินยังกล่าวอีกว่า ที่อัตราการตายยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 0.2% ของการติดเชื้อแต่ละวันก็เกิดจากวัคซีนทั้งสิ้น ผู้เสียชีวิตแต่ละวันล้วนเป็นผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่เสี่ยงมาก ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่กระทรวงสาธารณสุขเน้นย้ำขอความกรุณาประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีน
สำหรับกรณีการฉีดวัคซีนเด็ก อนุทินยืนยันว่ากระทรวงสาธารณสุขไม่เคยคิดที่จะฉีดวัคซีนตามอำเภอใจ บุคลากรผู้ทรงคุณวุฒิทางการแพทย์ล้วนแล้วแต่เคยวิจัยและทดลองมาแล้ว จึงไฟเขียวให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการ ซึ่งพร้อมที่จะจัดหาวัคซีนให้ประชาชนทุกช่วงอายุ
นอกจากนั้นอนุทินยังกล่าวถึงระบบสาธารณสุขที่ประเทศไทยเคยมีมา เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค หรือหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ล้วนแล้วแต่เป็นระบบที่ดี ไม่มีใครลืมผู้ที่คิดค้นระบบเหล่านี้ ตนเองก็ไม่ลืม รัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขชุดนี้ไม่มีทางที่จะด้อยค่าระบบสาธารณสุขของไทย แต่จะเป็นการต่อยอดให้เป็นประโยชน์เพิ่มมากขึ้น