วานนี้ (17 กุมภาพันธ์) ที่อาคารรัฐสภา พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลุกขึ้นชี้แจงภายหลังที่ วิสุทธิ์ ไชยณรุณ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จังหวัดพะเยา พรรคเพื่อไทย อภิปรายถึงกรณีการแพร่ระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร หรือ ASF ว่าเป็นโรคที่ไม่ระบาดไปสู่มนุษย์ การส่งออกหมูที่ผ่านมาได้มีการตรวจค้นกรณีการกักตุนเนื้อสุกร และสำหรับผู้ประกอบการรายย่อยได้มีการกำชับให้ขึ้นทะเบียนในการเลี้ยงสุกร เพื่อจะได้เข้าถึงมาตรการการช่วยเหลือของรัฐ ซึ่งต้องช่วยกันให้สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งประเทศไทยให้เข้าถึงมาตรการของภาครัฐ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการพัฒนาคุณภาพในการเลี้ยงสุกรและการป้องกันโรคระบาดโดยเฉพาะฟาร์มขนาดเล็ก โดยได้กำชับไปยังกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้ลงไปดูแลว่าจะสามารถดูแลผู้ประกอบการขนาดเล็กได้อย่างไร และในส่วนของฟาร์มขนาดใหญ่ก็ได้มีการตรวจสอบว่าใครเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ ก็ต้องตรวจสอบกัน
พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า โดยภาพรวมทั่วประเทศทั้งเรื่องหมูตายและหมูขาดตลาดก็จะรับข้อสังเกตเพื่อไปตรวจสอบ ซึ่งขณะนี้ภาครัฐได้ตรวจค้นไปแล้วกว่า 6,000 เป้าหมาย อายัดหมูไปแล้วกว่า 2 ล้านกิโลกรัม และตรวจสอบห้องเย็นที่รับฝากซากสุกรทั่วประเทศอีกกว่า 400 แห่ง พบการกระทำความผิด 9 แห่ง
นอกจากนั้น พล.อ. ประยุทธ์ ยังได้ตอบข้อชี้แจงในกรณีเรื่องสินค้าอุปโภคและบริโภคที่มีราคาแพงว่า ตนและรัฐบาลได้ให้ความสำคัญและมีการแก้ไขมาตามลำดับ แต่การแก้ไขจะต้องมีมาตรการและวิธีการ รวมถึงกลไกและความเร่งด่วนในการแก้ไข เนื่องจากเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการใช้จ่ายงบประมาณ ซึ่งการที่สินค้ามีราคาที่แพงขึ้นส่วนหนึ่งมาจากอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกไม่ใช่เฉพาะที่ประเทศไทย ซึ่งไม่ได้พูดว่าประเทศไทยดีและประเทศอื่นไม่ดี แต่ต้องการให้ทุกคนมองเห็นภาพในมุมกว้างทั้งในภูมิภาคและทั่วโลก
สินค้าและบริการสูงขึ้นส่วนหนึ่งก็มาจากการแพร่ระบาดของโควิด และประเทศไทยก็ได้รับความชื่นชมว่ารับมือจากโควิดได้ดี และที่สำคัญไปกว่านั้นคือรัฐบาลได้เข้าไปช่วยลดภาระของประชาชนได้มากถึงมากที่สุดจากมาตรการต่างๆ ของรัฐบาล ซึ่งหากรัฐบาลไม่มีมาตรการช่วยเหลือประชาชนก็จะอยู่ไม่ได้ ซึ่งการช่วยเหลือก็เป็นไปตามงบประมาณที่มีอยู่
พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า สำหรับวลีที่ว่าแพงทั้งแผ่นดิน ทุกคนยอมรับว่าสินค้ามีราคาแพง แต่ถ้านำไปเปรียบเทียบกับโลกใบนี้และมองเขามองเราไปด้วย รวมถึงเปรียบเทียบอัตราเงินเฟ้อของแต่ละประเทศ ประเทศไทยถือว่ารั้งท้ายที่สุดในตาราง ซึ่งตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องรักษาอัตราเงินเฟ้อนี้ไว้ให้ได้ไม่เกิน 3% ไม่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นรัฐบาลก็ต้องเจอเหตุการณ์เช่นเดียวกับตน ไม่ได้ชี้แจงเพื่อแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ย่อมเป็นหน้าที่ของทุกคนที่ต้องช่วยกันแก้ไขและให้กำลังใจซึ่งกันและกันในการแก้ปัญหาเหล่านี้ ซึ่งต้องให้ความเป็นธรรมกับรัฐบาลด้วย เมื่อเกิดปัญหาแล้วก็เป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาอย่างมีสติ รอบคอบ
การแพร่ระบาดของโควิดส่งผลให้ทั่วโลกเกิดอัตราเงินเฟ้อ และส่งผลไปยังสินค้าและบริการที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งสินค้าที่มีราคาแพงนั้นส่วนหนึ่งก็มาจากการผลิตและความต้องการสินค้าของโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบไม่ปกติ ไม่สมดุล และไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และสิ่งที่ทำให้ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้นคือค่าขนส่งสินค้าและค่าระวางเรือที่มีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นหลายเท่าจากเดิม เนื่องจากถูกจำกัดการเดินทางและการขนส่งหยุดชะงัก
ในส่วนของราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นกว่า 60% นั้น ประเทศไทยมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเพียง 20% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าหลายประเทศ โดยรัฐบาลพยายามอย่างเต็มที่เพื่อลดภาระรายจ่ายของประชาชน ลดแรงกระแทกให้ประเทศไทยจากวิกฤตราคาน้ำมันและพลังงานแพงขึ้นทั่วโลก
สำหรับราคาไฟฟ้าครัวเรือนในต่างประเทศ โดยเฉพาะที่ประเทศอังกฤษนั้นมีการจ่ายค่าไฟฟ้าที่แพงขึ้นหนึ่งเท่าตัวจากปี 2563 แต่ประเทศไทยกลับเสียค่าไฟฟ้าเท่าเดิมในปี 2564 ในส่วนการขนส่งสาธารณะที่ประเทศอังกฤษมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นกว่า 30% ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศไทย ทั้งราคาสินค้าอาหารอุปโภคบริโภค โดยรวมเพิ่มสูงขึ้นเพียง 0.77% ซึ่งถือเป็นอัตราการเปลี่ยนแปลงที่น้อยมาก
พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ประเทศไทยอยู่ระหว่างการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสโดยการเพิ่มปริมาณการส่งออกสินค้าทางการเกษตร ซึ่งจะเห็นได้จากมูลค่าการส่งออกผักที่เพิ่มขึ้นจาก 128,000 ล้านบาท เป็น 191,000 ล้านบาท ซึ่งรวมถึงมันสำปะหลัง กุ้ง และปลา เป็นต้น
ทั้งนี้ ประเทศไทยจะต้องเผชิญกับราคาสินค้าแพงไปอีกระยะหนึ่ง แต่รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในการแก้ปัญหา และเริ่มเห็นผลได้ดีมากขึ้นแล้ว
“ประชาชนเป็นผู้ไว้ใจให้เราเข้ามา บางอย่างก็ต้องคิดไปด้วยกัน อะไรไม่ดีก็เตือนก็บอก เช่น วันนี้ในการเปิดอภิปรายตามมาตรา 152 ตนก็เข้ามาฟัง อะไรที่ให้แก้ก็จะนำกลับไปแก้ อะไรไม่ดีก็ตรวจสอบ ซึ่งไม่ใช่วาระที่จะอภิปรายไม่ไว้วางใจ”