หุ้นเอเชียวันนี้ (28 มกราคม) ปรับตัวลดลงทั้งภูมิภาค โดยดัชนี Nikkei 225 ลดลง 1.53%, Hang Seng ลดลง 2.55%, KOSPI ลดลง 1.71%, Shanghai ลดลง 1.91% ขณะที่ SET Index ปิดการซื้อขายที่ 1,468.51 จุด -29.62 จุด หรือ -1.98%
ทั้งนี้ ข้อมูลการซื้อขายแบ่งตามประเภทนักลงทุนตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน (สิ้นสุดวันที่ 27 มกราคม) พบว่า นักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 12,560.52 ล้านบาท และนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 5,292.91 ล้านบาท
ประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการอาวุโส บลจ.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ กล่าวว่า สาเหตุที่นักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิในระยะนี้ เกิดจาก 1. การขายกองทุนแอลทีเอฟ ซึ่งเกิดขึ้นเป็นปกติในเดือนมกราคมของทุกปี โดยรอบนี้ยังถือได้ว่าน้อยกว่าในอดีตมาก และ 2. ขายเพื่อรอเข้าซื้อหุ้นไอพีโอ OR
ทั้งนี้ มองว่าแรงขายของสถาบันในประเทศไม่น่ากังวลมาก เป็นการปรับพอร์ตปกติเท่านั้น และสำหรับ บลจ.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ ยังไม่มีการปรับมุมมองต่อเศรษฐกิจหรือกลุ่มธุรกิจไหน
เขากล่าวว่า ที่น่าจับตาคือแรงขายต่างชาติมากกกว่า โดยเริ่มเห็นสัญญาณขายของต่างชาติตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม โดยเฉพาะสองกองทุนใหญ่คือ เจพี มอร์แกน และ เครดิตสวิส โดยประเมินว่าการขายรอบนี้น่าจะทำให้ตลาดหุ้นไทยซึมยาวไปจนถึงหลังตรุษจีน เนื่องจากการทยอยขายส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายเบาบาง ตลาดหุ้นไทยจะเข้าสู่ภาวะเงียบสงัดเป็นเวลานาน
และไม่ใช่แต่ตลาดหุ้นไทยเท่านั้น ตลาดหุ้นต่างประเทศก็จะเคลื่อนไหวลักษณะใกล้เคียงกัน ด้วยเหตุผลหลักๆ คือการปรับฐานของดัชนี โดยที่ผ่านมาดัชนีหุ้นทั่วโลกปรับเพิ่มขึ้นสูงจากความคาดหวังเรื่องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกหลังจากได้รับวัคซีนในวงกว้าง เมื่อปรับขึ้นถึงระดับหนึ่งจึงมีแรงเทขาย
ประกอบกับเมื่อไม่นานมานี้ นักลงทุนสถาบันระดับโลก อาทิ Bank of America เองก็ออกมาเตือนถึงความคาดหวังที่ล้นจนเกินเศรษฐกิจจริง ซึ่งทำให้ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับฐานทั้งที่ไม่มีสัญญาณเศรษฐกิจใดๆ มาก่อน อย่างไรก็ตาม นักลงทุนกลับไม่ได้ตื่นตระหนกกับคำเตือนนี้มากนัก เพราะรับรู้อยู่แล้วว่าดัชนีปรับเพิ่มขึ้นมากไป และต้องมีการปรับฐานเป็นระยะ
โดยเมื่อวันที่ 27 มกราคม ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับลดลงไปราว 2.5% ซึ่งหากอ้างอิงจากสถิติในอดีต ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปรับฐานราว 5-10%
“น้ำหนักการลงทุนจากนี้ จึงให้น้ำหนักการลงทุนหุ้นไทย 30% และอีก 50% ลงทุนหุ้นต่างประเทศ เน้นจีน และเวียดนาม”
วิน พรหมแพทย์ CFA, ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.พรินซิเพิล กล่าวว่า ตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงวันนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการปรับฐานหลังจากที่ดัชนีเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรงตลอดช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ส่วนความกังวลว่าตลาดหุ้นทั่วโลกเกิดภาวะฟองสบู่ขึ้นหรือยังนั้น ประเมินได้ยาก เนื่องจากตัวชี้วัดของแต่ละคนแตกต่างกัน
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่ามีปัจจัยที่หนุนให้เกิดภาวะฟองสบู่ในตลาดหุ้น นั่นคือ นโยบายเชิงปริมาณ (QE) ซึ่งทั้งสหรัฐอเมริกาและยุโรปได้ผลักดันนโยบายนี้กันต่อเนื่อง ด้วยมูลค่าที่มาก โดยการทำ QE ผลักดันให้สภาพคล่องล้นระบบและวิ่งหาสินทรัพย์เสี่ยง ดังที่เราได้เห็นภาพตลาดหุ้นทั่วโลกปรับขึ้นทำนิวไฮใน 2-3 เดือนที่ผ่านมา
ฉะนั้น นักลงทุนควรพิจารณาเชิงปัจจัยพื้นฐานในแต่ละตลาดหุ้น และกลุ่มธุรกิจให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน รวมถึงควรรอจังหวะการเข้าลงทุนด้วยเช่นกัน
พจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ กล่าวว่า บลจ.วรรณ มีมุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศในทิศทางที่เป็นบวกต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงกลางปี 2563 ที่ผ่านมา จากการที่ธนาคารกลางทั่วโลกมีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อประคองเศรษฐกิจที่หดตัวลงจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
นอกจากนี้ การที่ โจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ และพรรคเดโมแครตครองเสียงส่วนมากในสภาคองเกรส ก็จะช่วยผลักดันนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่เป็นไปได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตามตลาดอาจจะมีความกังวลอีกครั้งเกี่ยวกับการเก็บภาษีที่จะเข้ามากดดันตลาดหุ้นได้
สำหรับผู้ที่สามารถรับความเสี่ยงสูงได้ให้ลงทุนในตลาดหุ้นโลกอัตราส่วน 50% ในตลาดหุ้นไทย 10% ส่วนที่เหลือให้ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ ส่วนผู้ที่รับความเสี่ยงได้ไม่มาก ให้ลงทุนในตลาดหุ้นโลกอัตราส่วน 15% ในตลาดหุ้นไทย 5% ส่วนที่เหลือให้ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ
ปีเตอร์ ออปเพนไฮเมอร์ (Peter Oppenheimer) หัวหน้านักกลยุทธ์ลงทุนในตลาดทุนโลกของโกลด์แมน แซคส์ กล่าวผ่านบลูมเบิร์กทีวีว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีการปรับฐานลงมา แต่ยังคงเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจกำลังกลับมาแข็งแกร่งขึ้น และกำไรของบริษัทจดทะเบียนก็จะฟื้นตัวในที่สุด ซึ่งปัจจัยนี้จะผลักดันให้ดัชนีปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่าที่เคยได้อีก
ขณะที่ จางอี้เฉิน (Zhang Yichen) ประธานและผู้บริหารระดับสูงของ CITIC Capital บริษัทจัดการการลงทุนของจีนกล่าวกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีว่า ตอนนี้ฟองสบู่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นทั่วโลก แต่ส่วนตัวเชื่อว่าตลาดหุ้นจีนยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะฟองสบู่ไม่มาก เนื่องจากมีการควบคุมการเข้าออกของเงินจากหน่วยงานกำกับ
โดยเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ภาวะฟองสบู่ขนาดใหญ่ได้ก่อตัวในวอลล์สตรีท ซึ่งเกิดจากนักลงทุนรายย่อยเข้ามาซื้อขายเพื่อเก็งกำไรกันมากเกินไป โดยภาพที่สะท้อนได้ชัดเจนก็คือ การแห่เข้าซื้อหุ้น GameStop และผลักดันให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 1,500% ในสองสัปดาห์
ภาพประกอบ: นิสากร ฤทธาภัย
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง: