สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า จากการรวบรวมข้อมูลจากนักวิเคราะห์ ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าผลกำไรของบริษัทในเอเชียลดลงจนทำระดับต่ำสุดในรอบ 12 ปี เมื่อเทียบกับกำไรของบริษัทในตลาดหุ้นอื่นทั่วโลก โดยสาเหตุหลักมาจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของจีน และซัพพลานเชนทั่วโลกประสบปัญหา
หลังจากผ่านพ้นข่าวดีเรื่องการกระจายวัคซีนและการเปิดประเทศอีกครั้งไปแล้ว การคาดการณ์กำไรต่อหุ้นในปี 2564 สำหรับกลุ่มดัชนี MSCI Asia Pacific เริ่มลดลงในช่วงกลางเดือนกันยายน นำโดยการปรับลดคาดการณ์ในออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บางประเทศ เช่น มาเลเซีย และจากการรวบรวมข้อมูลของ Bloomberg พบว่า นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นเอเชียจะร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 12 ปี
ทั้งภาคธุรกิจและราคาหุ้นในภูมิภาคนี้ต่างได้รับแรงกดดันจากการที่เศรษฐกิจยังคงปิดตัวนานกว่าประเทศตะวันตก โดยจีนยังคงรักษานโยบาย COVID Zero และเข้มงวดกฎระเบียบด้านการกำกับดูแลภาคธุรกิจ นอกจากนี้ยังมีปัญหาคอขวดในห่วงโซ่อุปทานที่ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น และภาวะเงินเฟ้อที่เกิดจากการขาดแคลนพลังงาน
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า ประมาณการกำไรจะได้รับผลกระทบมากขึ้นจากนั้นจะกลับมาขึ้นในปี 2565
Goldman Sachs ได้ปรับลดประมาณการสำหรับการเติบโตของกำไรต่อหุ้นของ MSCI Asia Pacific (ไม่รวมสมาชิกดัชนีญี่ปุ่น) เหลือ 32% สำหรับปีนี้และ 9% สำหรับปี 2565 ลดลงจากการคาดการณ์ก่อนหน้าที่ 34% และ 11% ตามลำดับ ขณะที่คาดการณ์กำไรสำหรับตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง และฟิลิปปินส์นั้นต่ำกว่าที่มุมมองนักวิเคราะห์โดยรวม (Consensus)
ปัจจัยหลักที่กดดันกำไรตลาดหุ้นในเอเชีย คือการรื้อกฎเกณฑ์ด้านการกำกับดูแลภาคธุรกิจหลายภาคส่วนในจีนซึ่งยังไม่ถึงจุดสิ้นสุดในปีนี้ และอาจมีการจำกัดการเดินทางเพื่อให้แน่ใจว่าการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกปักกิ่งในปี 2565 จะประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ตลาดหุ้นจีนเป็นตลาดหุ้นที่ทำผลงานได้แย่ที่สุดในภูมิภาคในปีนี้ และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้หุ้นเอเชียมีประสิทธิภาพต่ำเมื่อเทียบกับหุ้นทั่วโลก
ฌอน เทย์เลอร์ (Sean Taylor) หัวหน้าเจ้าหน้าที่การลงทุนประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ DWS กล่าวกับ Bloomberg Television ว่า หลายจังหวัดของจีนจะถูกปิดจนกว่าถึงการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในปี 2565 ซึ่งจะกดดันการเติบโตทางเศรษฐกิจให้ลดลง
ทั้งนี้ดัชนี MSCI Asia Pacific มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเพียงในปีนี้ เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรปที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 18% ขณะที่ดัชนี CSI 300 ของจีนลดลงเกือบ 5%
ส่วนตลาดหุ้นเกาหลีใต้กำลังเผชิญความเสี่ยง เนื่องจากการเติบโตของกำไรบริษัทผู้ผลิตชิปรุ่นใหญ่อย่าง SK Hynix Inc. และ Samsung Electronics Ltd. ถูกคาดกากรณ์ว่าจะชะลอตัวลง เนื่องจากราคาชิปหน่วยความจำดูเหมือนจะพุ่งสูงขึ้น นอกจากนี้เศรษฐกิจเริ่มเปิดใหม่เร็วกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ซึ่งหมายความว่าตัวเลขรายได้ก่อนหน้านี้เริ่มต้นที่ฐานที่สูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางมุมมองเชิงลบต่อตลาดหุ้นในเอเชีย ตลาดหุ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลับได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นจากนักลงทุนบางกลุ่ม เนื่องจากถูกมองว่าเศรษฐกิจกำลังค่อยๆ พื้นตัวหลังจากมีการผ่อนคลายข้อจำกัดในการเดินทาง
ทั้งนี้ DWS ชื่นชอบตลาดหุ้นญี่ปุ่นเนื่องจากยกเลิกภาวะฉุกเฉินและมีศักยภาพในการกระตุ้นทางการเงินครั้งใหญ่ ในขณะที่ตลาดที่มีหุ้นเทคโนโลยีสูงอย่างไต้หวันเป็นหนึ่งในตัวเลือกอันดับต้นๆ ที่ Goldman Sachs, Invesco Ltd. และ Pictet Asset Management ชื่นชอบ
อ้างอิง:
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP