ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นหลักในภูมิภาคเอเชียวันนี้ (17 มกราคม) ต่างปรับตัวลดลงจากวันก่อนหน้าทุกตลาด โดยเฉพาะตลาดหุ้นฮ่องกง จีน และเกาหลีใต้ ซึ่งติดลบไป 2-3% หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจออกมาอ่อนแอ
ขณะที่ตลาดหุ้นไทย ดัชนี SET ร่วงลงไปกว่า 20 จุด หรือ 1.5% ลงไปแตะระดับ 1,378.85 จุด ต่ำสุดในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา
ส่วนตลาดหุ้นอื่นในอาเซียน ได้แก่ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ต่างปรับตัวลงเช่นกัน แต่ลดลงไม่ถึง 1%
สุนทร ทองทิพย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า แรงกดดันต่อตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียวันนี้มาจากความกังวลต่อตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่ประกาศออกมาเมื่อช่วงเช้าวันนี้ แม้ GDP ทั้งปี 2566 จะขยายตัว 5.2% แต่หากดูในรายละเอียดจะเห็นว่าตัวเลขเศรษฐกิจในแต่ละส่วนค่อนข้างอ่อนแอ
อย่างเช่น ราคาบ้านที่ทำจุดต่ำสุดนับแต่ปี 2558 ขณะที่อุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างและของตกแต่งบ้านหดตัว 7.8%
“ปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนต้องใช้เวลาในการแก้ไข ขณะเดียวกันจีนยังได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าและสงครามเทคโนโลยี ซึ่งกระทบต่อผู้ผลิตสินค้าที่ต้องลดราคาขายและไม่สามารถใช้กำลังการผลิตได้เต็มที่”
อีกปัจจัยลบที่สำคัญคือ ภาวะที่เรียกว่า ‘Reverse Goldilocks’ หรือการที่นักลงทุนคาดหวังว่าธนาคารจะลดอัตราดอกเบี้ยลงโดยเร็ว แต่ฝั่งธนาคารกลางก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะทำเช่นนั้น เมื่อเวลาผ่านไปทำให้นักลงทุนที่เคยคาดหวังสูงกลับมาเทขายสินทรัพย์เสี่ยง
ส่วนปัจจัยเฉพาะตัวของหุ้นไทย หากมองไปรอบด้านจะเห็นว่าไร้ปัจจัยหนุน และสถานการณ์ต่างๆ ดูไม่ชัดเจนนัก ไม่ว่าจะเป็นการบริโภคที่ยังไม่ฟื้นตัว ความกังวลต่อตลาดหุ้นกู้ รวมทั้งความไม่ชัดเจนของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
นอกจากนี้หุ้นขนาดกลางและใหญ่บางส่วนยังมีปัจจัยกดดันเฉพาะตัว อย่างเช่น บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น หรือ WHA ที่ราคาหุ้นลดลงราว 5% เนื่องจากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกับลูกค้ารายหนึ่งที่ต้องการเข้ามาลงทุนบนที่ดินของนิคมอุตสาหกรรมของ WHA ได้
นอกจากนี้จะเห็นได้ว่านักลงทุนต่างชาติยังคงเทขายหุ้นไทยต่อเนื่องในเดือนมกราคมที่ผ่านมา แม้ P/E ของหุ้นไทยจะลดลงมาอยู่ในระดับ 14.3 เท่า แต่เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นใกล้เคียง เช่น เวียดนาม 10 เท่า, ฟิลิปปินส์ 11.5 เท่า, มาเลเซีย 13.3 เท่า และอินโดนีเซีย 13.7 เท่า ในขณะที่การเติบโตของกำไรในปีนี้ของไทยไม่ได้โดดเด่นกว่าตลาดหุ้นอื่นมากนัก
“ส่วนตัวมองว่าหุ้นไทยในเวลานี้คงต้องรอหาจังหวะ ไม่จำเป็นต้องลุยซื้อในขณะที่ยังไม่มีอะไรชัดเจน”