ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้เริ่มต้นการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน-สหรัฐฯ สมัยพิเศษ ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวานนี้ (12 พฤษภาคม) ตามเวลาท้องถิ่น ด้วยการเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงรับรองผู้นำอาเซียนที่ทำเนียบขาว ก่อนที่จะมีการหารือในการประชุมที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ในวันนี้ (13 พฤษภาคม)
การประชุมผู้นำอาเซียน-สหรัฐฯ สมัยพิเศษรอบนี้ มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-13 พฤษภาคม โดยเป็นการฉลองครบรอบ 45 ปี ความสัมพันธ์ อาเซียน-สหรัฐฯ และเป็นการร่วมประชุมด้วยตัวเองของบรรดาผู้นำครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2017
ขณะที่มีผู้นำอาเซียนเดินทางไปร่วมประชุมจำนวน 8 ประเทศ จากทั้งหมด 10 ประเทศ ยกเว้นประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตร์เต ของฟิลิปปินส์ ที่จะสิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่งในช่วงเดือนมิถุนายนนี้ และ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมา ที่ไม่ได้รับเชิญไปร่วมประชุม เนื่องจากอาเซียนงดเว้นการเชิญผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมาเข้าร่วมการประชุมสุดยอดของทางกลุ่ม จนกว่าจะได้เห็นความคืบหน้าในฉันทามติ 5 ข้อ เพื่อยุติความรุนแรงในเมียนมา
ในวันแรกของการประชุม บรรดาผู้นำได้ไปรวมตัวที่สนามหญ้าของทำเนียบขาวเพื่อถ่ายรูปหมู่ ก่อนที่ไบเดนจะประกาศคำมั่นให้การสนับสนุนด้านการเงินต่ออาเซียน จำนวน 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 5.2 พันล้านบาท แบ่งเป็น
- 40 ล้านดอลลาร์ สำหรับการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มุ่งเป้าลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของแหล่งพลังงานในภูมิภาค
- 60 ล้านดอลลาร์ สำหรับโครงการด้านความมั่นคงทางทะเล
- 15 ล้านดอลลาร์ สำหรับการรับมือสถานการณ์โรคระบาด ซึ่งรวมถึงการตรวจหาเชื้อโควิดและโรคในระบบทางเดินหายใจอื่นๆ ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
- ส่วนที่เหลือ สำหรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อช่วยเหลือประเทศอาเซียนในการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลและกฎหมายปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI
รัฐบาลวอชิงตันตั้งความหวังว่า ความพยายามในการประชุมครั้งนี้ จะแสดงให้ผู้นำอาเซียนเห็นว่า สหรัฐฯ ยังคงมุ่งให้ความสำคัญกับภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ตลอดจนเน้นย้ำการรับมือกับความท้าทายในระยะยาวจากการขยายอิทธิพลของจีน ซึ่งถือเป็นมหาอำนาจและคู่แข่งหลักของสหรัฐฯ
ขณะที่ท่าทีของไบเดนถูกจับตามองว่า เป็นความพยายามเพื่อต่อต้านการขยายอิทธิพลของจีน แม้จะยังเทียบไม่ได้กับความสัมพันธ์และอิทธิพลที่จีนมีต่ออาเซียน
ซึ่งในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว จีนยังได้ให้คำมั่นสนับสนุนงบประมาณ 1.5 พันล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยประเทศอาเซียนในการรับมือโควิดและฟื้นฟูภาวะเศรษฐกิจต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3 ปี
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ระดับสูงคนหนึ่งของสหรัฐฯ ให้ความเห็นต่อผู้สื่อข่าวถึงการประชุมครั้งนี้ โดยมองว่า สหรัฐฯ ต้องยกระดับบทบาทของตนที่มีต่อภูมิภาคอาเซียนให้มากขึ้น
“เราไม่ได้ขอให้ประเทศต่างๆ ตัดสินใจเลือกระหว่างสหรัฐฯ กับจีน แต่เราต้องการชี้แจงให้ชัดเจนว่า สหรัฐฯ แสวงหาความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น”
ภาพ: Photo by Drew Angerer / Getty Images
อ้างอิง: