×

จับตาศึกลุ้นชิงตั๋วแชมเปียนส์ลีก ปีศาจแดงมาแน่ไหม อาร์เซนอล-สเปอร์สยังแอบลุ้นได้หรือเปล่า

02.07.2020
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

8 mins. read
  • แม้การลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกจะจบลงไปแล้ว แต่การลุ้นทำอันดับเพื่อไปยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกยังไม่จบ โดย 6 นัดที่เหลือมีทีมที่ยังต้องลุ้นถึง 7 ทีมด้วยกัน
  • แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นทีมที่ฟอร์มแรงที่สุด และมีโปรแกรมการแข่งที่เหลือเบาที่สุด ส่วนเลสเตอร์อาการหนักทั้งฟอร์มและโปรแกรมที่เหลือ
  • สองยักษ์ใหญ่ของลอนดอนเหนืออย่างอาร์เซนอลและสเปอร์สได้แอบลุ้นอยู่ไกลๆ

ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกกลับมารีสตาร์ทกันได้ 3 สัปดาห์แล้ว ตอนนี้ผ่านมาถึงแมตช์เดย์ที่ 32 (และ 31 สำหรับบางทีม) นอกเหนือจากเรื่องแชมป์ของลิเวอร์พูลที่จบไปตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว อีกหนึ่งเรื่องใหญ่ที่แฟนบอลต่างจับตามองคือการลุ้นชิงตั๋วไปยูฟ่าแชมเปียนส์​ลีกในฤดูกาลนี้ที่เข้มข้นอย่างมาก

 

และที่สำคัญ สถานการณ์ในปัจจุบันหลังการรีสตาร์ทอีกครั้งนั้นเริ่มเห็นความแตกต่างจากช่วงก่อนที่โควิด-19 จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างบนโลก

 

ปัจจัยสำคัญอยู่ที่การพักเบรกเป็นระยะเวลานานถึง 3 เดือน โดยเป็น 3 เดือนซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในวงการฟุตบอล ที่ทีมจะได้พักเป็นระยะเวลานานโดยที่ไม่สามารถเตรียมความพร้อมของทีมได้อย่างเต็มที่ ซึ่งส่งผลต่อเรื่องของผลงานในสนาม

 

ไม่นับเรื่องของแฟนฟุตบอลที่ไม่สามารถเข้ามาให้กำลังใจในสนามได้ ทำให้หลายทีมประสบปัญหาเกี่ยวกับการรีดเร้นศักยภาพของทีมออกมา นั่นทำให้ทีมเล็กๆ อย่างเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ที่เคยแอบมีลุ้นถึงการไปแชมเปียนส์ลีก หรืออย่างน้อยที่สุดคือลุ้นไปรายการสโมสรยุโรปด้วยฟอร์มที่น่าประทับใจตลอดฤดูกาลที่ผ่านมา เวลานี้พวกเขาหล่นไปไกลถึงอันดับที่ 10 และมีฟอร์มการเล่นที่น่าเป็นห่วงอย่างมากว่าอาจจะรูดลงไปไกลกว่านั้นอีก

 

เช่นเดียวกันกับเลสเตอร์ ซิตี้ ตั้งแต่กลับมารีสตาร์ท พวกเขายังไม่ชนะใครเลย จนทำให้จากที่เคยมั่นใจว่ามีโอกาสจะได้ไปแชมเปียนส์ลีกแน่ๆ ตอนนี้อะไรมันก็ไม่แน่เหมือนเดิมแล้ว

 

ขณะที่ทีมอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เชลซี, วูล์ฟส์ ไปจนถึงอาร์เซนอลและสเปอร์สเหมือนจะดี แต่ระหว่างนี้ไปจนจบฤดูกาลจะเป็นอย่างไร  

 

มาลองดูทีละทีมกัน

 

 

 

แมนเชสเตอร์ ซิตี้

โปรแกรมนัดที่เหลือ: ลิเวอร์พูล (เหย้า), เซาแธมป์ตัน (เยือน), นิวคาสเซิล (เหย้า), ไบรท์ตัน (เยือน), บอร์นมัธ (เหย้า), วัตฟอร์ด (เยือน), นอริช (เหย้า)

 

ความจริงหากมองเรื่องของแต้มแล้ว ระยะห่าง 8 แต้มของพวกเขากับเลสเตอร์นั้นไม่ใช่ปัญหาอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่เรื่องของการอุทธรณ์ในคดีการกระทำผิดกฎการเงิน Financial Fair Play ที่ทางยูฟ่าลงโทษแบน ห้ามเข้าร่วมการแข่งขันในรายการของยูฟ่าเป็นระยะเวลา 2 ปี

 

ขณะนี้เรื่องอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอนุญาโตตุลาการกีฬา (CAS) ซึ่ง ‘คาดว่า’ ผลการตัดสินจะออกมาภายในช่วงครึ่งเดือนแรกของเดือนกรกฎาคมนี้ เพื่อให้ทันก่อนที่ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกจะจบฤดูกาลในวันที่ 27 กรกฎาคม

 

หาก CAS ยืนคำตัดสินเดิมก็จะทำให้พวกเขาหมดสิทธิ์ไปแชมเปียนส์ลีก หรือหากลดโทษกึ่งหนึ่งก็ยังจะไม่ได้ลงเล่นในฤดูกาลหน้าอยู่ดี และนั่นหมายถึงการที่ตั๋วไปแชมเปียนส์​ลีกจะถูกยกให้กับทีมอันดับที่ 3-5 แทน

 

แฟนเรือใบสีฟ้าจึงต้องลุ้นหนักกับการอุทธรณ์มากกว่าเรื่องของผลงานที่ไม่ถึงกับมีอะไรที่ต้องน่าเป็นห่วงแต่อย่างใด

 

 

เลสเตอร์ ซิตี้

โปรแกรมนัดที่เหลือ: คริสตัล พาเลซ (เหย้า), อาร์เซนอล (เยือน), บอร์นมัธ (เยือน), เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด (เหย้า), สเปอร์ส (เยือน), แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (เหย้า)

 

สิ่งดีๆ ที่ทำมาตลอดครึ่งฤดูกาลแรกยังทำให้เลสเตอร์เกาะกลุ่ม Top 4 ในเวลานี้ได้อยู่ แต่จากฟอร์มของทีมในช่วงของการรีสตาร์ทที่ยังไม่ชนะใคร ทำให้อดเป็นห่วงแฟนแทนจิ้งจอกไม่ได้ว่าพวกเขากำลังจะสูญเสียความหวังในเร็วๆ นี้

 

ความจริงแล้วปัญหาฟอร์มการเล่นของเลสเตอร์มีมาก่อนช่วงของโควิด-19 โดยเริ่มเห็นถึงแนวโน้มของทีมที่ผลงานดรอปลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจุดเปลี่ยนเริ่มจากช่วงที่ วิลเฟร็ด เอ็นดิดี เจ็บยาวจนทำให้ทีมสะดุดหลายนัด ขณะที่นักเตะแกนหลักในแนวรุกอย่าง เจมี วาร์ดี, เจมส์ แมดดิสัน, ยูริ ตีเลอมองส์ หรือดาวรุ่งอย่าง ฮาร์วีย์ บาร์นส์ ไม่สามารถจะเล่นได้ร้อนแรงเท่าเดิมในเวลานี้

 

ไม่นับ เบน ชิลเวลล์ แบ็กซ้ายดาวเด่นที่มีข่าวการย้ายทีมไปเชลซีแบบหนาหู (ล่าสุดเจอดราม่าเรื่องไปยิ้มแป้นแล้นดีใจกับ รอสส์ บาร์คลีย์ ที่ทำประตูชัยให้เชลซีในเกมที่พบกันนัดล่าสุด) ที่ถูกจับตามองอย่างหนักถึงเรื่องความทุ่มเท

 

ถึงแม้ว่า เบรนแดน ร็อดเจอร์ส จะเป็นกุนซือฝีมือ แต่ด้วยฟอร์มที่เห็นและด้วยโปรแกรมที่เหลือของพวกเขาซึ่งยังต้องเจอของแข็งอย่างอาร์เซนอล, สเปอร์ส และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 

 

บางทีเหล่า The Foxes อาจต้องทำใจที่จะปล่อยความหวังไป

 

 

เชลซี

โปรแกรมที่เหลือ: วัตฟอร์ด (เหย้า), คริสตัล พาเลซ (เยือน), เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด (เยือน), นอริช (เหย้า), ลิเวอร์พูล (เยือน), วูล์ฟส์ (เหย้า)

 

เป็นอีกทีมที่สร้างความฮือฮาอย่างมากในฤดูกาลนี้ด้วยสไตล์การเล่นที่เร้าใจ เต็มไปด้วยพลังคนหนุ่ม และมักจะทำผลงานที่น่าประทับใจได้เสมอ รวมถึงการสยบแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งเป็นการมอบถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกให้แก่ลิเวอร์พูล หลังจากที่เคยกระชากมันจากมือของเหล่าเดอะ ค็อป เมื่อปี 2014

 

แต่ในเกมล่าสุดเมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา พวกเขากลับพลาดท่าพ่ายต่อเวสต์แฮม ยูไนเต็ด แบบงงๆ และเป็นการตอกย้ำว่าแม้เชลซีทีมนี้จะมีอนาคตไกล แต่ปัญหาใหญ่ของพวกเขาคือการที่ไม่สามารถรักษามาตรฐานการเล่นเอาไว้ได้แบบสม่ำเสมอ 

 

ทีมของ แฟรงค์ แลมพาร์ด มักจะพลาดในเกมที่ไม่น่าจะพลาดเสมอ ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องหาทางแก้ไขกันต่อไปในอนาคต เพียงแต่ในเรื่องของการลุ้นไปแชมเปียนส์ลีกก็เป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก ซึ่งโชคดีที่โปรแกรมช่วงที่เหลือนั้นไม่ถึงกับหนักมาก

 

ยากที่สุดของพวกเขาคือสองเกมสุดท้ายในการไปเยือนลิเวอร์พูลและวูล์ฟส์ ซึ่งถ้าให้ดี เชลซีต้องโกยแต้มให้ได้มากที่สุดระหว่างนี้จนกว่าจะถึงวันนั้น เผื่อว่าสถานการณ์ทุกอย่างจะนิ่งแล้ว

 

 

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

โปรแกรมที่เหลือ: บอร์นมัธ (เหย้า), แอสตัน วิลล่า (เยือน), เซาแธมป์ตัน​ (เหย้า), คริสตัล พาเลซ (เยือน), เวสต์แฮม (เหย้า), เลสเตอร์ (เยือน)

 

15 นัดแล้วที่ ‘ปีศาจแดง’ ไม่แพ้ใคร และจากฟอร์มที่ปรากฏในเวลานี้ ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ จะกล่าวด้วยความมั่นใจว่าพวกเขาสามารถจะยืดสถิติไม่แพ้ใครได้ต่อไปจนจบฤดูกาลเลยทีเดียว

 

หัวใจสำคัญในการคืนชีพครั้งนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าเกิดจากการตัดสินใจทุ่มข้อเสนอคว้าตัว บรูโน แฟร์นันด์ส จอมทัพชาวโปรตุเกสมาร่วมทีมในช่วงก่อนตลาดการซื้อขายจะปิดตัวลง และเป็นการซื้อที่ดีที่สุดในรอบหลายปีของทีมไปโดยปริยาย เมื่อกองกลางจอมเทคนิคสามารถทำให้ทั้งทีมขับเคลื่อนได้ทั้งหมดอย่างน่ามหัศจรรย์

 

แม้กระทั่งนักเตะที่หาคนเล่นด้วยยากอย่าง พอล ป็อกบา ที่มีคนตั้งคำถามว่าจะเล่นร่วมกับแฟร์นันด์สได้หรือไม่ สุดท้ายก็ได้เห็นแล้วว่านักเตะระดับนี้สามารถเล่นร่วมกันได้ ขอแค่จัดองค์ประกอบและกำหนดบทบาทให้ชัดเจนเป็นที่เป็นทาง

 

ขณะที่แนวรุกอย่าง อองโตนี มาร์กซิยาล, มาร์คัส แรชฟอร์ด และไอ้หนูดาวรุ่งอย่าง เมสัน กรีนวูด กลายเป็น 3 ประสานที่ร้ายกาจและลงตัวอย่างเหลือเชื่อ 

 

ในเกมรับการคืนฟอร์มของ เนมันยา มาติช มีส่วนทำให้งานของ แฮร์รี แม็กไกวร์​ และเหล่าแบ็กโฟร์ของเขาเบาลงอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นถึง ดาบิด เด เคอา จะผีออก (มากกว่าผีเข้า) แต่เกมรับโดนทดสอบน้อยลงมาก

 

เมื่อมองถึงโปรแกรมนัดที่เหลือแล้ว แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นทีมที่มีโปรแกรมเบากว่าทีมอื่น ยากที่สุดคือการไปเยือนเลสเตอร์ในนัดสุดท้าย ซึ่งถึงเวลานั้นเชื่อว่าทุกอย่างน่าจะจบไปก่อนแล้ว

 

อย่าว่าแต่ Top 5 ตอนนี้พวกเขามีโอกาสมองไกลถึง Top 3 แล้วด้วยซ้ำไป!

 

 

วูล์ฟส์

โปรแกรมที่เหลือ: อาร์เซนอล (เหย้า), เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด (เยือน), เอฟเวอร์ตัน (เหย้า), เบิร์นลีย์​ (เยือน), คริสตัล พาเลซ (เหย้า), เชลซี (เยือน)

 

ถือเป็น ‘หมาป่ามืด’ ของจริงสำหรับการลุ้นตั๋วไปแชมเปียนส์ลีกในฤดูกาลนี้จากอันดับและฟอร์มการเล่น เพียงแต่หากมองพัฒนาการทีมของ นูโน เอสปิริโต ซานโต แล้วก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะพวกเขาเป็นทีมที่มีรากฐานแน่นและขุมกำลังที่ใช้ได้

 

นักเตะอย่าง อดามา ตราโอเร, ดิโอโก โจตา, รูเบน เนเวส, ชูเอา มูตินโญ, คอเนอร์ โคดี ไปจนถึง ราอูล ฮิมิเนซ ถ้าบอกว่าจะย้ายทีม พวกนี้จะถูกทีมใหญ่ดึงตัวทันทีโดยไม่มีอะไรต้องลังเล

 

ทีนี้สำหรับโอกาสไปลุ้นโชว์ตัวในแชมเปียนส์ลีกต่อหลังจากที่เพิ่งได้ไปเล่นในยูโรปาลีกในฤดูกาลนี้ของวูล์ฟส์ ต้องบอกว่ามีโอกาสไม่น้อย โดยเฉพาะหากอันดับไหลมาถึงที่ 5 จริง ระยะห่างระหว่างพวกเขากับเลสเตอร์มีแค่ 3 แต้มเท่านั้น และจากฟอร์มและเกมที่เหลือแล้ว ทีมหมาป่าก็ไม่ได้หนักเหมือนอดีตแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2015-16 ด้วย

 

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องจับตาคือความกดดันในช่วงโค้งสุดท้ายในวินาทีชี้เป็นชี้ตาย โดยเฉพาะใน 3 นัดหลังจากนี้ที่ต้องเจอกับอาร์เซนอล, เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด และเอฟเวอร์ตัน หากผ่านไปได้แบบสวยงาม ถึงตรงนั้นจะมีลุ้นเต็มที่แน่นอน

 

 

…แล้วอาร์เซนอลกับสเปอร์ส?

โปรแกรมที่เหลือของอาร์เซนอล: วูล์ฟส์ (เยือน), เลสเตอร์ (เหย้า), สเปอร์ส (เยือน), ลิเวอร์พูล (เหย้า), แอสตัน วิลล่า (เยือน), วัตฟอร์ด (เหย้า)

 

โปรแกรมที่เหลือของสเปอร์ส: เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด (เยือน), เอฟเวอร์ตัน (เหย้า), บอร์นมัธ (เยือน), อาร์เซนอล (เหย้า), นิวคาสเซิล (เยือน), เลสเตอร์ (เหย้า), คริสตัล พาเลซ (เยือน)

 

ด้วยความที่คะแนนของสองทีมนี้ห่างจากกลุ่ม Top 6 พอสมควรที่ 6 และ 7 คะแนนตามลำดับ แม้ว่าสเปอร์สจะมีเกมในมืออีก 1 นัดก็ตาม แต่จากฟอร์มแล้วถือว่าโอกาสจะลุ้นนั้นเป็นไปได้ยาก และการผิดพลาดแค่ครั้งเดียวก็อาจหมายถึงการที่ความหวังทุกอย่างจะดับลงทันที

 

โดยเฉพาะ ‘ปืนใหญ่’ อาร์เซนอลในเกมที่เหลือแล้ว 4 นัดจากนี้พวกเขาเจอแต่ของโหด ขณะที่ 2 นัดสุดท้ายคือเกมของกลุ่มหนีตาย ซึ่งดูแล้วยากที่ทีมของ มิเกล อาร์เตตา จะเก็บชัยชนะรวดทุกนัดที่เหลือได้

 

ขณะที่สเปอร์สโปรแกรมไม่หนักเท่า แต่ในกลุ่มท็อปด้วยกันต้องเปิดศึกนอร์ธลอนดอนดาร์บี้กับอาร์เซนอล และยังมีเลสเตอร์ด้วย แต่ที่สำคัญกว่าคือการที่นอกจากจะไม่พลาดแล้วต้องแช่งให้คู่แข่งอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เชลซี หรือวูล์ฟส์ สะดุดบ้างด้วย ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่ยากกว่าการลุ้นทีมตัวเองเสียอีก

 

ดังนั้นความหวังของสองยักษ์ใหญ่ลอนดอนในฤดูกาลนี้ที่จะได้ไปแชมเปียนส์ลีกอาจจะยากหน่อย สิ่งที่เป็นไปได้มากกว่าคือการลุ้นไปยูโรปาลีก และงานนี้บอกได้เลยว่าเดือดไม่แพ้กัน

 

ภาพประกอบ: พรวลี จ้วงพุฒซา

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

X
Close Advertising