ในห้วงยามที่ความหวังเหมือนจะเลือนรางจางไปกับความมืดมิด ลูกยิงจากนอกกรอบเขตโทษที่ปั่นด้วยซ้ายข้างถนัดของ มาร์ติน โอเดการ์ด จุดประกายความหวังให้กับเหล่ากูนเนอร์สในเอมิเรตส์ สเตเดียมอีกครั้ง
ก่อนที่ บูกาโย ซากา ผู้ผิดพลาดครั้งใหญ่เมื่อยิงจุดโทษพลาดในเกมกับเวสต์แฮมจะทำประตูตีเสมอเป็น 3-3 ให้อาร์เซนอลไล่ตามเซาแธมป์ตันกลับมาทันจนได้ในช่วงก่อนหมดเวลา ภายหลังจากที่ผิดพลาดกันมากมายจนตามหลัง 0-2 และ 1-3
ถึงตรงนี้ไม่มีใครในเอมิเรตส์ สเตเดียมจะเก็บความรู้สึกไหวแล้ว พวกเขามีเวลาอีกราว 8 นาทีที่ผู้ตัดสินที่ 4 ยกป้ายชูขึ้นมาบอกเวลาที่ทดเหลือจากช่วงเวลาที่หายไปในเกมปกติ โดยที่ทุกคนรู้ว่าหากพวกเขาทำได้อีก 1 ประตู มันอาจไม่ได้หมายถึงชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ในเกมนี้
แต่มันอาจหมายถึงการทะยานไปสู่การคว้าแชมป์ลีกอีกครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่เกินและไกลกว่าจะฝันถึงตลอดช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา
และ เลอันโดร ทรอสซาร์ด ตัวสำรองที่ลงสนามมาก็สามารถหาจังหวะง้างเท้าได้แล้ว ลูกยิงด้วยซ้ายของเขาเข้าเต็มข้อดีทีเดียว
น่าเสียดายที่ลูกยิงที่หนักหน่วงนั้นอาจจะใส่พลังมากเกินไป หากลูกยิงนั้นใส่พลังน้อยลงกว่านี้สักเสี้ยวเดียวมันอาจจะพุ่งเสียบใต้คานเข้าไปอย่างสวยงาม แต่เพราะพลังที่ใส่มานั้นมากเกินไปลูกจึงเชิดหัวพุ่งขึ้นก่อนจะแฉลบคานออกไป
ก่อนที่เสียงนกหวีดสุดท้ายจะดังขึ้น นักเตะกันเนอร์สหลายคนล้มตัวลงนอน บ้างก้มหน้าด้วยความผิดหวัง
ฤดูกาลแห่งความฝันของเหล่ากูนเนอร์สมันถึงจุดจบจริงๆ แล้วหรือ?
ในโลกของความจริงมันยังไม่จบหรอก แต่ปัญหาคือตอนนี้ทุกอย่าง – ในความหมายถึงสถานการณ์การลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ – มันอาจจะไม่ได้อยู่ในมือของพวกเขาอีกต่อไปแล้ว
โดยเฉพาะเมื่อคู่แข่งที่เผชิญคือแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ซึ่งเริ่มกลับมาเข้าฝักอีกครั้งด้วยการชนะรวดไปแล้ว 6 นัด ถึงจะมีแต้มตามหลังอยู่ 5 คะแนน และทุกคนเชื่อว่าแชมป์เก่าจะเก็บชัยชนะได้ทั้งหมด ซึ่งนั่นหมายถึงการแซงนำอาร์เซนอลเป็นจ่าฝูงแทนทันที
อย่างไรก็ดี มันเป็นสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น และอาร์เซนอลยังเหลือโอกาสสำคัญ
โอกาสนั้นอยู่ที่การไปเยือนเอติฮัด สเตเดียมของซิตี้ในคืนนี้
ถ้าบุกไปเอาชนะได้ กันเนอร์สจะทิ้งห่างเป็น 8 คะแนน โดยที่ต่อให้ซิตี้ชนะเกมในมืออีก 2 นัดที่เหลือก็ยังตามหลังอยู่อีก 2 คะแนน และต่อให้ยังมีเกมหนักในการต้องพบกับนิวคาสเซิล เชลซี และไบรท์ตัน ถึงตรงนั้นอาร์เซนอลก็ไม่ต้องกลัวใครอีกต่อไปแล้ว
นี่คือเหตุผลว่าทำไมเกมที่เอติฮัด คืนนี้จึงเป็นเกมที่นักเตะอาร์เซนอลต้องเตรียมตัวและเตรียมใจให้พร้อมที่สุด
นี่คือ ‘Now or Never’ สำหรับพวกเขา ที่หากไม่ใช่ครั้งนี้ก็อาจไม่มีโอกาสอีกต่อไปแล้ว
คำถามคืออาร์เตตาและทีมของเขาจะหาทางบุกไปเอาชนะคู่แข่งที่พวกเขาไม่เคยเอาชนะได้เลยได้อย่างไร?
ตามข้อมูลสถิติจาก Opta อาร์เซนอลแพ้รวด 6 นัดในการมาเยือนที่เอติฮัดให้กับซิตี้ในยุคของเป๊ป โดยโดนยิงไป 17 ประตู และยิงกลับมาได้แค่ 3 ประตูเท่านั้น
ในการพบกัน 11 ครั้งหลังสุด พวกเขาแพ้รวดทุกนัดให้กับซิตี้ ซึ่งรวมถึงการพบกันที่เอมิเรตส์ สเตเดียม และในเกมเอฟเอคัพเมื่อ 2 เดือนที่แล้วด้วย
และ มิเกล อาร์เตตา ไม่เคยคุมทีมเอาชนะซิตี้ของเป๊ป อดีตหัวหน้าของเขาได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
สิ่งที่น่าเป็นกังวลคือเรื่องของเกมรับที่มีปัญหาทันทีเมื่อขาด วิลเลียม ซาลิบา ปราการหลังเสาหลักที่จับคู่กับ กาเบรียล มาร์กัลเญส ได้อย่างลงตัว ตัวตายตัวแทนอย่าง ร็อบ โฮลดิง ไม่ดีพอที่จะชดเชยความยอดเยี่ยมของดาวเตะชาวฝรั่งเศสได้ และส่งผลให้มีรอยร้าวเกิดขึ้นในเกมรับ
แต่ให้ความยุติธรรมกับโฮลดิง ปัญหาเกมรับของอาร์เซนอลความจริงเกิดขึ้นมาสักพักแล้ว โดยใน 11 นัดหลังสุดในลีกพวกเขาเสียประตูมากกว่า 2 ลูกถึง 6 นัดด้วยกัน – รวมถึง 3 เกมหลังสุดที่เสมอลิเวอร์พูล, เวสต์แฮม และเซาแธมป์ตัน ซึ่งโดนยิงรวมถึง 7 ประตู
ย้อนกลับไปในเดือนมกราคม ช่วงที่อาร์เซนอลเอาชนะสเปอร์สได้พวกเขามีค่าเฉลี่ยในการเสียประตูแค่ 0.78 ลูกต่อนัด แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมาพวกเขามีค่าเฉลี่ยการเสียประตูมากถึง 1.43 ลูกต่อนัด เรียกว่าเป็นอัตราที่สูงมาก ซึ่งมันเกิดจากการที่พวกเขาเปิดโอกาสให้คู่แข่งได้ลองยิงประตูมากขึ้นกว่าในช่วงครึ่งแรกของฤดูกาล โดยค่าเฉลี่ย xG Against (โอกาสจะเสียประตู) เพิ่มจาก 0.94 มาเป็น 1.31 ประตูต่อเกม
แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่าคือเรื่องของสภาพจิตใจ เพราะเห็นได้ชัดใน 3 นัดที่ผ่านมาว่าอาร์เซนอลเริ่มตกอยู่ใต้ความกดดัน หัวใจที่มั่นคงมาตลอดเริ่มสั่นไหว แม้กระทั่งนักเตะที่เป็นที่พึ่งของทีมมาตลอดอย่าง อารอน แรมส์เดล ก็ผิดพลาดถึงขั้นเตะเปิดเกมผิดจนทำให้ทีมโดนเซาแธมป์ตันยิงนำตั้งแต่ต้นเกม
ประสบการณ์ยังคงมีความสำคัญเสมอสำหรับการลุ้นแชมป์ และนี่เป็นครั้งแรกที่กันเนอร์สได้เรียนรู้ว่าเวลาหัวใจบีบคั้นถึงขีดสุดมันเป็นแบบนี้
ยิ่งคิดถึงฟอร์มของทีมเรือใบสีฟ้าที่กลับมาเร่งเครื่องได้ทันเวลาพอดีหลังจากที่ออกอาการเครื่องสะดุด เพลาหัก สลักหายมาตลอดทั้งฤดูกาล นับถึงตรงนี้ซิตี้ไม่ได้แค่ชนะรวดในลีกมา 6 นัด แต่ใน 19 นัดหลังสุดพวกเขาชนะถึง 17 นัด (เสมอ 1 แพ้ 1)
เออร์ลิง เบราต์ ฮาลันด์ กลับมาสู่ร่างจอมมารอีกครั้งหลังจากที่เป๊ปช่วยกดจุดปลดปล่อย เควิน เดอ บรอยน์ หัวใจสำคัญของทีมที่มีอาการเนือยเล็กน้อยในฤดูกาลนี้ด้วยการจี้ใจดำว่า “ช่วยเล่นง่ายๆ ให้ได้ก่อน” ซึ่งหลังจากนั้นเป็นต้นมาเดอ บรอยน์ร่างทองก็กลับมาทันที และเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของฤดูกาล
รวมถึง แจ็ค กรีลิช, แบร์นาร์โด ซิลวา, อิลคาย กุนโดกัน ไปจนถึง ริยาด มาห์เรซ และ ฟิล โฟเดน ที่ค่อยๆ ดึงสติกลับมาและนึกออกอีกครั้งว่าพวกเขาเคยเล่นกันได้อย่างยอดเยี่ยมแค่ไหน
นอกจากความยอดเยี่ยมแบบเดิม สิ่งที่เพิ่มเติมสำหรับซิตี้ในชุดนี้คือการสลับปรับเปลี่ยนเล็กๆ น้อยๆ ในทีม เช่น การขยับเอา จอห์น สโตนส์ มายืนเป็น Inverted Fullback ที่สร้างความประหลาดใจให้คนมากมาย เพราะกองหลังที่ดูไม่น่าจะเล่นในบทบาทนี้ได้เลยกลับทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม
สิ่งเหล่านี้มันทำให้ไม่ว่าบทวิเคราะห์สำนักใดก็เชื่อว่าซิตี้เป็นทีมที่เหนือกว่า ดีกว่า และน่าจะเก็บชัยชนะได้
ยังมีบทวิเคราะห์อีกหลายชิ้นที่มองว่าอาร์เซนอลมีโอกาสที่จะทำพลาดในแบบที่เรียกกันว่า ‘Arsenal bottled it’ อีกครั้ง ซึ่งยังเป็นเรื่องที่พวกเขาเอาชนะตัวเองไม่ได้ เหมือนในฤดูกาลที่แล้วที่พลาดถูกสเปอร์สแซงหน้าคว้า Top 4 ไปครองได้ หรือในอีกหลายครั้งก่อนหน้านั้นที่พลาดโอกาสในการคว้าแชมป์ไปเอง
แม้ว่าจะมีการปลอบประโลมว่าถ้าบอกก่อนเริ่มฤดูกาลว่าพวกเขาจะมีลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกกับซิตี้ ต่อให้ต้องพลาดโอกาสไปก็นับว่ามาไกลเกินกว่าที่คิดแล้ว เพราะเป้าหมายจริงๆ ของอาร์เซนอลในฤดูกาลนี้คือการติด Top 4 มากกว่า
ขุมกำลังยังไม่แข็งแกร่งพอ ประสบการณ์ก็น้อยเหลือเกิน เมื่อคิดถึงว่าหัวใจของทีมอย่างโอเดร์การ์ด, ซากา หรือ กาเบรียล มาร์ติเนลลี นักเตะความหวังเหล่านี้อายุยังไม่ถึงเบญจเพสเลย
แต่มาถึงตรงนี้แล้ว มันจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายและอาจจะเสียใจในวันข้างหน้าหากอาร์เซนอลจะไม่พยายามทำอะไรสักอย่าง
เป็นรองก็ใช่ สถิติเลวร้ายก็ถูก คนไม่เชื่อมือก็ไม่เป็นไร
โอกาสอยู่ตรงหน้าแล้ว มันไม่ใช่แค่คำว่า Now or Never แต่หากพวกเขาทำได้ในค่ำคืนนี้ มันมีโอกาสจะกลายเป็น Now And Forever
จะเป็นเรื่องเล่าแบบไหนให้คนรุ่นต่อไปฟังในวันข้างหน้า ไม่ได้อยู่ที่ฟ้ากำหนด
พวกเขาต้องลิขิตมันด้วยตัวเอง
- ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของ Opta คำนวณว่าเกมนี้แมนฯ ซิตี้มีโอกาสชนะมากถึง 62 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่อาร์เซนอลมีโอกาสชนะแค่ 15.3 เปอร์เซ็นต์
- หากซิตี้เอาชนะอาร์เซนอลได้พวกเขาจะมีโอกาสคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้สูงถึง 91 เปอร์เซ็นต์ หรือต่อให้เสมอก็ยังมีโอกาสคว้าแชมป์ที่ 72 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ถ้าอาร์เซนอลชนะพวกเขาจะมีโอกาสคว้าแชมป์ 56 เปอร์เซ็นต์
- เป๊ปและอาร์เตตารู้จักกันมาตั้งแต่สมัยอาร์เตตาโดนทีมบาร์เซโลนาดึงตัวเข้ามา (ก่อนจะต้องย้ายออกไปเพราะดูแววแล้วเกิดยาก) ซึ่งเป๊ปยังเป็นมิดฟิลด์เชิงสูงคุมแดนกลาง เป็นต้นแบบให้กองกลางหลายคน