เอาอีกแล้ว!
ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนบอล “หงส์แดง” หรือไม่ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าการทำประตูชัยในช่วงท้ายเกมของเวอร์จีล ฟาน ไดค์ ที่ช่วยให้ลิเวอร์พูลเฉือนเอาชนะแอตเลติโก มาดริด ได้แบบสุดมัน 3-2 ในเกมยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก เมื่อคืนที่ผ่านมา น่าจะทำให้เราอุทานคำนี้ไม่ต่างกัน
เพราะนี่เป็นเกมที่ 5 ติดต่อกันในฤดูกาลนี้ที่พวกเขามาทำประตูชัยได้ในช่วงสุดท้ายของเกม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากนับช่วง “นาทีบาป” ในช่วงสุดท้ายของเกมแล้ว ทีมของอาร์เนอ สลอต ทำประตูชัยได้ถึง 4 เกมเลยทีเดียว
บอร์นมัธ น.88, 90+4
นิวคาสเซิล น.90+10
เบิร์นลีย์ น.90+5
แอตเลติโก มาดริด น.90+2
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้เป็นเพราะโชค ดวง หรืออะไรกันแน่?
ในคืน “ยูโรเปียน ไนท์” ที่แอนฟิลด์เมื่อคืนที่ผ่านมาเหมือนจะเป็นเกมที่เดอะ ค็อปทั่วโลกจะได้เชียร์กันอย่างสบายใจอยู่แล้วเมื่อได้ประตูนำแอตเลติโก มาดริดอย่างรวดเร็วในช่วง 5 นาทีแรก
ไม่ใช่แค่ประตูเดียว แต่ได้ถึง 2 ประตูเลยทีเดียว! จากลูกฟรีคิกของโม ซาลาห์ ที่ซัดไปแฉลบแอนดี โรเบิร์ตสัน เปลี่ยนทางเข้าไป ก่อนที่ “Egyptian King” จะลุยแหวกเข้าไปบวกสกอร์ของตัวเองได้บ้าง
2 ประตูที่นำเร็วทำให้ลิเวอร์พูลเล่นอย่างสบายใจ แต่ความสบายใจก็กลายเป็นความประมาทที่นำไปสู่การตกที่นั่งลำบากของพวกเขาอีกครั้ง เมื่อทีมเยือนจากสเปนแสดงให้เห็นถึงคุณภาพของทีมระดับท็อปด้วยการรวบรวมเกมกลับมาและค่อยๆ ไล่ยิง จนตามตีเสมอได้สำเร็จ 2-2 จากการทำประตูของ มาร์กอส ยอเรนเต นักเตะอเนกประสงค์ผู้ชื่นชอบการเล่นที่แอนฟิลด์เหลือเกิน (7 ประตูที่ยิงได้ในแชมเปียนส์ ลีก มาจากการยิงที่แอนฟิลด์ 4 ลูก)
เหลือเวลาในสนามอีกแค่ 9 นาทีไม่รวมช่วงการทดเวลา ซึ่งสำหรับบางคนอาจไม่เพียงพอ
แต่สำหรับอาร์เนอ สลอต มันคือช่วงเวลาที่เขาและลูกทีมจะร่ายมนต์มหัศจรรย์อีกครั้ง
Winning mentality
ในสถานการณ์ที่ทีมมักจะตกที่นั่งลำบากแบบนี้ เป็นเรื่องง่ายมากสำหรับหลายทีมที่จะจิตหลุดและพลาดไปจนถึงขั้นแพ้ได้เลยทีเดียว
เพราะการจะนำ 2 ประตูแล้วโดนตามตีเสมอนั้นหมายถึงโอกาสที่ทีมได้สูญเสียการคอนโทรลเกมไปแล้ว หรือผ่อนการเล่นลงไปมากเกินกว่าที่จะยกระดับการเล่นของตัวเองเพื่อให้ทีมกลับมาทำประตูได้อีกครั้ง เหมือนการปล่อยโอกาสทุกอย่างให้ไปอยู่ในมือคู่แข่งแล้ว เป็นเรื่องยากที่จะทวงคืนกลับมา
แต่สำหรับลิเวอร์พูล พวกเขาไม่เคยหยุดพยายาม ในเกมที่แอนฟิลด์เมื่อคืนนี้ภายหลังจากโดนไล่ตีเสมอแบบช็อกๆ ทีมแชมป์พรีเมียร์ลีกกลับมารวบรวมการเล่นกันใหม่และเดินหน้าโหมบุกใส่คู่แข่งอีกครั้งเพื่อพิชิตเกมให้ได้
เป็นวิธีคิดและหัวจิตหัวใจของทีมที่ประสบความสำเร็จที่สงวนให้สำหรับทีมที่ผ่านการทดสอบมามากมายและหนักหน่วงเท่านั้น
การปรับเปลี่ยนรูปแบบและวิธี
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เคยกล่าวไว้ “การทำสิ่งใดซ้ำๆ ย้ำๆ แล้วคาดหวังจะได้รับผลลัพธ์ที่แตกต่างคือคนวิกลจริต”
ลิเวอร์พูลเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ดีสำหรับการพยายามคิดหาคำตอบไปเรื่อยในการ “หาทางออก” ให้ตัวเองในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ดังที่เราจะได้เห็นจากหลายๆ นัดที่ผ่านมา เช่น การเติมเฟเดริโก คิเอซา ลงมาในแนวรุกพร้อมสลับ (Shuffle) ตัวในแนวรุกใหม่ในเกมกับบอร์นมัธ
การทำเกมด้วยการต่อบอล และการวิ่งข้ามหลอกของโดมินิก โซโบสไล จนทำให้ริโอ นูโมฮา เจ้าหนูมหัศจรรย์ยิงประตูชัยในนาทีที่ 100 นัดกับนิวคาสเซิล หรือในเกมเมื่อคืนนี้ เช่น ในช่วงท้ายเกมสลอต ตัดสินใจถอดแอนดี โรเบิร์ตสัน ที่อ่อนแรงออกแล้วให้มิลอส เคอร์เคซ ลงมาช่วยเกมทางฝั่งซ้ายของริโอ นูโมฮา
ความไวของนูโมฮา ผสมผสานกับความฟิตเติมสุดของเคอร์เคซ ทำให้ลิเวอร์พูลสามารถจู่โจมแอตฯ มาดริดได้ทั้งสองฟากสนาม ซึ่งแม้จะไม่ได้ผลในทางตรงแต่ก็ทำให้พวกเขาได้ลูกเตะมุมหลายครั้ง ที่นำไปสู่การได้ประตูในที่สุด
เช่นกันกับวันที่ตื้อเจาะเบิร์นลีย์ไม่เข้าเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา สลอตส่งเจเรมี ฟริมปง ลงมาทางฝั่งขวาและขยับเอาโม ซาลาห์เข้าไปด้านใน ตัวริมเส้นชาวดัตช์กลายเป็นตัวอันตรายทางฝั่งขวาที่เติมมาได้ลุ้นตลอด และการครอสบอลของเขานำไปสู่การได้แฮนด์บอลที่เป็นจุดโทษและประตูชัยของทีม
และแน่นอนการเลือกที่จะเล่น “เสี่ยง” (Risk) มากขึ้น เพื่อหวังผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่กว่า
ความฟิตและพลังแฝง
หลายทีมคิดได้ แต่ไม่ใช่ทุกทีมที่จะทำได้สำหรับการเร่งเกมเพื่อโหมทำประตูท้ายเกมได้แบบลิเวอร์พูล
สิ่งที่ทำให้ทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์ทำแบบนี้นั้นไม่ได้อยู่ที่เรื่องของคุณภาพผู้เล่นอย่างเดียว แต่รวมถึงสภาพความฟิต กำลังวังชาของผู้เล่นด้วย ซึ่งไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเป็นทีมที่แข็งแรงหรือแกร่งกว่าคนอื่นเขาเสมอไป
แต่มันอาจสะท้อนถึงวิธีการเล่นในการเล่นแบบถนอมพละกำลัง เล่นช้าลง เล่นแบบ Safe mode เผื่อเอาไว้สำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน
ที่เมื่อถึงเวลาต้องกดปุ่ม Emergency หรือ SOS จริง ลิเวอร์พูลพร้อมที่จะเดินเครื่องเต็มกำลังอีกครั้ง ด้วยพละกำลังที่ยังเหลือมากพอที่จะสามารถบดขยี้คู่แข่งเอาให้อยู่หมัดได้
Fear factor
อีกสิ่งหนึ่งที่มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้คือยิ่งลิเวอร์พูลพลิกสถานการณ์ได้บ่อยมากแค่ไหน นั่นหมายถึงการที่พวกเขาได้สร้างความหวาดกลัวให้เกิดขึ้นแก่สภาพจิตใจของคู่แข่งโดยไม่รู้ตัว
ในขณะที่เดอะ ค็อป ยังมั่นใจอยู่ลึกๆ ว่าทีมของพวกเขาจะสามารถทำอะไรสักอย่างที่จะทำให้ทีมกลับมาได้ เรียกว่าบ่อยจนเริ่มกลายเป็นความเคยชิน ทีมคู่แข่งจะอยู่ในอาการผวาเพราะคิดว่าช้าหรือเร็วลิเวอร์พูลจะสามารถทำอะไรสักอย่าง
เป็นความรู้สึกสองด้านที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงและถูกฝังไว้ในความรู้สึกเหมือนชิปที่พร้อมทำงานทันทีเมื่อถึงเวลา
สิ่งเหล่านี้เราเคยเห็นกันมาก่อนแล้วในอดีตกับ “Fergie time” ในยุคที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ครองความยิ่งใหญ่ยาวนาน ตราบใดที่เวลายังไม่หมดพวกเขามีโอกาสพร้อมที่จะเก็บชัยชนะได้เสมอ
ดวง
นี่คือปัจจัยสุดท้ายที่ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้มากมาย
การยกแขนขึ้นของฮานนิบาล เมบรี ที่ทำให้เบิร์นลีย์เสียจุดโทษ หรือบอลที่กระดอนตกลงตรงหน้าของเฟเดริโก คิเอซา ในเกมกับบอร์นมัธ
เทพีแห่งโชคเธอหันมายิ้มหวานเจี๊ยบให้
แต่การต้องมายิงประตูในช่วงท้ายเกมต่อเนื่องของลิเวอร์พูลนั้นไม่ได้มีแต่ผลดี มันมีผลเสียและสิ่งที่น่ากังวลด้วยเช่นกัน
เพราะนั่นหมายถึงการที่ทีมยังมีจุดอ่อนในเรื่องของเกมรับที่เปราะบางกว่าในฤดูกาลที่แล้ว โดยที่ส่วนใหญ่มักจะเป็นการเสียประตูแบบง่ายเกินไป แสดงให้เห็นถึงความหละหลวมในแนวป้องกัน ซึ่งดูเหมือนจะมีเพียงฟาน ไดค์ คนเดียวที่ยังรักษาระดับมาตรฐานการเล่นได้
นอกจากนั้นคือเรื่องของการเสียสมาธิ (Complacency) ที่เป็นศัตรูตัวร้ายของทีมฟุตบอลทุกทีม ซึ่งในเกมระดับพรีเมียร์ลีกหรือแชมเปียนส์ ลีก แสดงให้เห็นแล้วว่าการพลาดเพียงแค่นิดเดียว การเหม่อวินาทีเดียว ไปจนถึงการยืนห่างตัวประกบแค่เมตรเดียว ส่งผลร้ายได้เสมอ
ไม่นับเรื่องของการทำให้ทีมเสียโอกาสทำตามแผน เช่น การทดลองนักเตะ หรือทดลองวิธีการเล่นบางอย่างในช่วงท้ายเกม เพราะต้องมาโฟกัสกับการทำประตูแทน
และที่สำคัญที่สุดคือ ต่อให้จะยิงท้ายเกมต่อเนื่องได้แบบนี้ บอกเลยว่าคำว่า “ตลอดไป” ไม่มีจริง มันจะมีวันที่ลิเวอร์พูลทำไม่สำเร็จอย่างแน่นอน
ดังนั้นทางที่ดีที่สุดสำหรับอาร์เนอ สลอต และทีมของเขาคือการพยายามรักษาสกอร์ให้ได้ในวันที่ขึ้นนำก่อน หรือพยายามหาทางเจาะประตูให้ได้ก่อนที่เวลาจะบีบเข้ามาจนกลายเป็นแรงกดดันมหาศาล
ชนะท้ายเกมมันตื่นเต้น หัวใจระรัวดีก็จริง
แต่สำหรับเดอะ ค็อปหลายคนแล้ว พวกเขาขอเลือกชนะแบบสบายๆ ไม่ทรมานหัวใจไปจนถึงตับไตไส้พุงบ้างจะดีกว่า
เขียนถึงตรงนี้ขอสูดยาหอมแป๊บนะครับ….