กรณีการยิงปะทะข้ามพรมแดนอย่างดุเดือดระหว่างกองกำลังทหารอาร์เมเนียและอาเซอร์ไบจาน ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา (12 กันยายน) ส่งผลให้มีทหารทั้งสองฝ่ายเสียชีวิตรวมแล้ว 99 นาย โดยถือเป็นเหตุสู้รบนองเลือดรุนแรงที่สุดระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย ที่เป็นอดีตรัฐสมาชิกของสหภาพโซเวียต นับตั้งแต่กรณีการทำสงครามในภูมิภาคนากอร์โน-คาราบักห์ ซึ่งเป็นพื้นที่ขัดแย้งแถบเทือกเขาคอเคซัส เมื่อปี 2020
สถานการณ์ล่าสุดมีรายงานจากทางรัสเซียที่อ้างว่าเป็นตัวกลางเจรจาไกล่เกลี่ยให้ทั้ง 2 ประเทศหยุดยิงลงได้ตั้งแต่ช่วงเช้าวานนี้ (13 กันยายน) โดยทางการอาร์เมเนียระบุว่า การสู้รบนั้นสงบลง แต่ไม่ยืนยันว่ายุติแล้ว และยังมีการสู้รบเกิดขึ้นเล็กน้อยในบางจุด ส่วนทางอาเซอร์ไบจานเผยว่า ได้บรรลุวัตถุประสงค์ในการตอบโต้การยั่วยุจากอาร์เมเนียแล้ว
นายกรัฐมนตรีนิโคล ปาชินเนียน ของอาร์เมเนีย รายงานว่า มีทหารอาร์เมเนียเสียชีวิตจากการปะทะไป 49 นาย ขณะที่กระทรวงกลาโหมอาเซอร์ไบจานรายงานว่า ทหารฝ่ายตนเสียชีวิตไป 50 นาย
สำหรับชนวนเหตุการปะทะนั้นทั้งสองฝ่ายต่างกล่าวหากันไปมา ซึ่งทางกระทรวงกลาโหมอาร์เมเนียรายงานว่า การสู้รบปะทุขึ้นในช่วงหลังเที่ยงคืนวันจันทร์ เข้าสู่เช้าวันอังคาร (13 กันยายน) และเป็นกองทัพอาเซอร์ไบจานที่เปิดฉากการโจมตียั่วยุข้ามพรมแดนด้วยปืนใหญ่ กระสุนปืนครก โดรน และปืนไรเฟิลลำกล้องใหญ่ โดยพุ่งเป้าไปที่โครงสร้างพื้นฐานทางทหารและพลเรือนในหลายเมืองและหมู่บ้านโดยรอบ ทำให้ทหารอาร์เมเนียต้องโจมตีตอบโต้
ขณะที่โฆษกกองทัพอาเซอร์ไบจานปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นฝ่ายยั่วยุก่อน โดยยอมรับว่าทำการโจมตีจริง แต่เพื่อตอบโต้การยั่วยุครั้งใหญ่จากฝ่ายอาร์เมเนียที่ยิงโจมตีฐานที่มั่นทางทหารของอาเซอร์ไบจาน จนทำให้โครงสร้างพื้นฐานทางทหารเสียหายและมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต และอ้างว่าพบความเคลื่อนไหวทางทหารของฝ่ายอาร์เมเนียตั้งแต่เดือนสิงหาคม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเตรียมพร้อมที่จะยั่วยุ
ภาพ: Resul Rehimov / Anadolu Agency / Getty Images
อ้างอิง: