ในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ราคา Bitcoin ลดลงไปกว่า 16% ถือว่าเป็นเดือนที่ลดลงรุนแรงมากที่สุดนับตั้งแต่การล่มสลายของ FTX ในช่วงปี 2022 คาดเป็นผลมาจากเงินทุนที่ไหลเข้ากองทุน Bitcoin Spot ETF ที่เริ่มลดลง ร่วมกับแนวโน้มการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Fed) ที่อาจอยู่ในระดับสูงต่อไป
ก่อนหน้านี้ราคาของBitcoinปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปี จนขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ตลอดกาลในช่วงเดือนมีนาคมที่ราว 74,000 ดอลลาร์ ก่อนที่ราคาจะลดลงมาอยู่ที่ราว 57,760 ดอลลาร์ และปรับตัวลงต่อเนื่องอีก 4.72% ในรอบ 24 ชั่วโมง หลังจากก้าวเข้าสู่เดือนพฤษภาคม
แม้ในช่วงวันอังคาร (30 เมษายน) จะเพิ่งมีการอนุมัติกองทุนBitcoinและ Ethereum Spot ETF ในประเทศฮ่องกง แต่ก็มีเงินทุนไหลเข้าเพียง 12.7 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 444 ล้านบาท
ขณะที่BitcoinSpot ETF ในสหรัฐฯ มีเงินทุนไหลเข้าในเดือนมีนาคมถึงกว่า 4.6 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.6 แสนล้านบาท ตามข้อมูลของ Bloomberg Intelligence
ซึ่งแนวโน้มการชะลอการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ทำให้ภาพรวมสินทรัพย์เสี่ยงลดความร้อนแรงลง โดยทาง Chris Weston หัวหน้าฝ่ายวิจัยของ Pepperstone Group ชี้ว่า การปรับเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนจากพันธบัตรสหรัฐฯ และอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เป็นผลร้ายต่อสินทรัพย์อย่างทองคำBitcoinและหุ้น
ขณะที่ Alex Kuptsikevich นักวิเคราะห์จาก FxPro กล่าวว่า จากสถิติย้อนหลังพบว่าในเดือนพฤษภาคมมักเป็นเดือนที่ไม่ค่อยดีต่อคริปโตเคอร์เรนซีอยู่แล้ว โดยBitcoinมีการปรับลดลงต่อเนื่องถึง 3 ปีติดกันในช่วงเดือนนี้ ด้วยการปรับลงเฉลี่ยที่ 20%
นอกจากนี้ Seth Ginns ผู้บริหารกองทุนของ CoinFund กล่าวกับ Bloomberg Television เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า การเกิดขึ้นของกองทุน BitcoinSpot ETF ทำให้ความนิยมของBitcoinและราคาของBitcoinปรับเพิ่มขึ้นเร็วกว่าที่ใครหลายคนคาดการณ์
และ Matteo Greco นักวิเคราะห์จาก Fineqia International กล่าวว่า การปรับตัวลดลงของBitcoinในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา เป็นผลจากการที่นักลงทุนที่สะสมBitcoinไว้ตั้งแต่ปี 2022 และ 2023 ประกอบกับนักลงทุนที่ถือ BitcoinSpot ETF ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2024 เริ่มขายทำกำไรจากการที่ราคาปรับเพิ่มขึ้นอย่างมาก
อ้างอิง: