ย้อนกลับไปเมื่อปี 2007 ตอนเปิดตัว iPhone บริษัทไอทียักษ์ใหญ่ ณ ตอนนี้อย่าง Apple ได้ถูกสาวก Nokia ตอนนั้นที่ยึดติดระบบปฏิบัติการของตนมากเกินไปเย้ยหยัน
แม้ในตอนนั้นสเปกโทรศัพท์ของ Nokia จะเหนือกว่า iPhone ก็จริง แต่การใช้งานนั้น Apple ทำได้ดีกว่า ซึ่งการอัปเดตฟีเจอร์ใหม่อย่างช้าๆ ของ Apple ในทุกๆ ปี ทำให้ไล่ตามโทรศัพท์เรือธงของแบรนด์ชั้นนำ ณ ตอนนั้นอย่าง Nokia, BlackBerry และ Motorola ได้ทัน และทำให้ส่วนแบ่งในตลาดของทั้ง 3 แบรนด์ย่ำแย่ลง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ไทยขยับขึ้นเป็น Tier 1 แล้ว! Apple เปิดให้สั่งจอง ‘iPhone 14’ วันแรก 9 ก.ย. เริ่มวางจำหน่าย 16 ก.ย.
- สื่ออเมริกาตกใจ ‘iPhone 14’ ไม่ขึ้นราคา แต่ไม่ใช่ในไทยที่รุ่นเริ่มต้นเพิ่มขึ้น ‘อย่างน้อย 2,000 บาท’ แถมแพงกว่าญี่ปุ่นทั้งที่เงินเยนอ่อนค่ากว่ามาก
- หุ้นตัวแทนขาย iPhone ยังนิ่ง แม้ไทยถูกขยับขึ้นมาเป็นกลุ่ม Tier 1 สำหรับการวางขาย iPhone 14
ในขณะที่สถานการณ์ของ Nokia ย่ำแย่ลงไวยิ่งขึ้น เนื่องจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของระบบปฏิบัติการ Android ที่มี Google เป็นเจ้าของ และในปี 2011 ก็ได้แซงหน้า Symbian OS ของ Nokia ซึ่งหลังจากนั้นธุรกิจโทรศัพท์ของ Nokia ถูกขายให้กับ Microsoft ในปี 2014
รายงานจาก The Verge ชี้ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวอาจเกิดซ้ำรอยกับ Garmin ที่กำลังโดน Apple Watch แย่งชิงส่วนแบ่งในตลาด
จากงานวิจัยของ Counterpoint พบว่า Apple นั้นครองตลาดสมาร์ทวอทช์ในช่วงราคาต่ำกว่า 500 ดอลลาร์แล้ว และในส่วนของ Garmin นั้นครองตลาดระดับบนด้วยนาฬิกากลางแจ้งระดับพรีเมียมราคาตั้งแต่ 699 ดอลลาร์ จนถึงมากกว่า 1,500 ดอลลาร์
ราคาอันสูงลิ่วของ Garmin เป็นเหตุให้บริษัทอยู่อันดับที่ 3 ในแง่ของรายได้ แม้จะอยู่อันดับที่ 5 ในการจัดส่งอุปกรณ์ไปยังผู้บริโภคก็ตาม
ล่าสุด Apple ได้เปิดตัว Apple Watch Ultra ซึ่งแสดงให้เห็นว่า Apple หิวโหยส่วนแบ่งทางการตลาดของสมาร์ทวอทช์ระดับพรีเมียมที่ใหญ่กว่า พร้อมอัตรากำไรที่ร่ำรวยกว่าตลาดสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียมที่ Apple นั้นครองอยู่แล้ว
Apple Watch Ultra ที่เพิ่งเปิดตัวไปและมีราคาต่ำกว่า 1,000 ดอลลาร์นั้น ก่อให้เกิดการเปรียบเทียบฟีเจอร์กับนาฬิการาคาใกล้เคียงของแบรนด์อย่าง Garmin, Coros และอื่นๆ อีกมาก
แม้ Apple Watch Ultra ยังด้อยกว่าในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ 36 ชั่วโมง หรือ 60 ชั่วโมงเมื่อเปิดใช้งานโหมดแบตเตอรี่ต่ำ ขณะที่แบรนด์อื่นๆ นั้นคำนวณอายุการใช้งานแบตเตอรี่เป็นสัปดาห์ ไม่ใช่ชั่วโมง
นอกจากนี้ยังขาดสิ่งต่างๆ เช่น แผนที่ภูมิประเทศที่ใส่มากับนาฬิกา ซึ่งจำเป็นสำหรับเส้นทางเดินเขา หรือการรองรับเครื่องวัดกำลังไฟฟ้าแบบบลูทูธและเซ็นเซอร์วัดรอบขาที่นักปั่นจักรยานใช้ คุณสมบัติด้านกีฬาและการวิเคราะห์ของ Apple นั้นยังอ่อนด้อยเมื่อเทียบกับความลึกและความหลากหลายที่นำเสนอโดยคู่แข่ง
แต่ Apple นั้นมีตลาดแอปพลิเคชันที่ยอดเยี่ยมเพื่อมาชดเชยสิ่งที่บริษัทยังไม่มีหรือไม่ได้ทำ ซึ่ง ณ ปัจจุบันเป็นสมาร์ทวอทช์ที่ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้ iPhone แล้ว และตอนนี้ Apple Watch ได้นำฟีเจอร์เดียวกันกับแบรนด์อื่นๆ เข้ามาแล้ว
เมื่อบวกกับไมโครโฟนที่ดีกว่า ลำโพงที่ดังขึ้น และไซเรนขอความช่วยเหลือ อาจทำให้นักกีฬากลางแจ้งที่จริงจังบางคนถูกดึงดูดโดย Ultra อย่างไม่ต้องสงสัยในฐานะนาฬิกามัลติสปอร์ตที่พอใช้ได้
ขณะที่จุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของ Garmin คือความสามารถในการใช้งาน นาฬิการะดับไฮเอนด์มีฟีเจอร์และความสามารถมากมายที่บดบังด้วยซอฟต์แวร์ที่ ‘ซับซ้อน’ ซึ่งบางครั้งรู้สึกเหมือนอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์
สวนทางกับ Apple ที่เก่งเรื่องการออกแบบอินเทอร์เฟซสำหรับผู้ใช้ แต่ Garmin นั้นไม่ใช่ ซึ่งคล้ายกับที่ Nokia พยายามปรับ Symbian เพื่อโต้กลับ iPhone และ Android แต่มันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น และในอนาคตนาฬิกาของ Apple จะตามสเปกและฟีเจอร์ที่มีในนาฬิกาเรือธงของ Garmin ได้ทัน และนั่นอาจทำให้ภาพประวัติศาสตร์กำลังซ้ำรอย
ภาพ: Courtesy of Apple
อ้างอิง:
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP