ปัญหาขาดแคลนชิปส่งผลเป็นวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมรถยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ และสมาร์ทโฟน ล่าสุด บริษัทเทคยักษ์ใหญ่อย่าง Apple ก็ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนนี้เช่นเดียวกัน
โดย ทิม คุก ประธานกรรมการบริหารของ Apple กล่าวว่า “ปัญหาขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ และการแพร่ระบาดของโควิคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทำให้การผลิตหยุดชะงักในหลายพื้นที่ ซึ่งกวาดยอดขายของ Apple หายไปราวๆ 6 พันล้านดอลลาร์ (1.9 แสนล้านบาท)”
รายได้ที่เกิดขึ้นของ Apple ถือเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าที่ Wall Street คาดการณ์ไว้ในไตรมาสที่ 4 นับตามปีทางบัญชี โดย ทิม คุก ประธานกรรมการบริหารของ Apple ระบุว่า จากปัญหาต่างๆ ด้านซัพพลายที่เกิดขึ้นซึ่งส่งผลมากกว่าที่เราคาดไว้ ในสินค้าอย่าง iPhone, iPad และ Mac ซึ่งอาจจะส่งมอบให้ลูกค้าไม่ได้ภายในเดือนพฤศจิกายน หรืออาจจะยาวไปถึงธันวาคมเลยก็ได้ รวมถึงกล่าวเพิ่มเติมว่า “ปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ กระทบต่อสินค้าเราแทบจะทุกตัว ซึ่งสวนทางกับความต้องการของลูกค้าที่ยังคงต้องการสินค้าของเราอยู่เป็นจำนวนมาก”
การแถลงการณ์นี้ของ Apple ส่งผลให้หุ้นของบริษัทร่วงลงมากถึง 5.3% เป็น 144.42 ดอลลาร์ (4,794 บาท) ในการซื้อขายช่วงครึ่งหลัง แต่ราคาหุ้นก็ยังถือว่าเพิ่มขึ้นถึง 15% ในปีนี้ จากข้อมูลราคาปิดตลาด ณ วันที่ 28 ตุลาคม
อย่างไรก็ตาม รายได้โดยรวมของ Apple ยังคงเพิ่มขึ้นถึง 29% และผลิตภัณฑ์ในแต่ละหมวดหมู่ก็เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี และนี่คือข้อมูลรายรับของ Apple ที่เกิดขึ้นจริง เมื่อเทียบกับตัวเลขที่ Refinitiv คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้
EPS: 1.24 ดอลลาร์ = ที่คาดการณ์ไว้ 1.24 ดอลลาร์
รายได้: 8.336 หมื่นล้านดอลลาร์, เพิ่มขึ้น 29% YoY น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ 8.485 หมื่นล้านดอลลาร์
รายได้จาก iPhone: 3.887 หมื่นล้านดอลลาร์,เพิ่มขึ้น 47%YoY น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ 4.151 หมื่นล้านดอลลาร์
รายได้จากบริการต่างๆ: 1.828 หมื่นล้านดอลลาร์, เพิ่มขึ้น 25.6%YoY มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ 1.764 หมื่นล้านดอลลาร์
รายได้จากผลิตภัณฑ์อื่นๆ: 8.79 พันล้านดอลลาร์, เพิ่มขึ้น 11.5%YoY น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ 9.33 พันล้านดอลลาร์
รายได้ Mac: 9.18 พันล้านดอลลาร์, เพิ่มขึ้น 1.6%YoY น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ 9.23 พันล้านดอลลาร์
รายรับจาก iPad: 8.25 พันล้านดอลลาร์, เพิ่มขึ้น 21.4%YoY มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ 7.23 พันล้านดอลลาร์
อัตรากำไรขั้นต้น: 42.2% มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ 42.0%
จะเห็นว่ายอดขาย iPhone เพิ่มขึ้นถึง 47%YoY แต่ก็ยังคงต่ำกว่าตัวเลขที่ประมาณการไว้อยู่ดี ไตรมาสนี้นับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2016 ที่ Apple มีตัวเลขรายได้แพ้ประมาณการรายได้ที่นักวิเคราะห์ประมาณการไว้
คุก กล่าวว่า “Apple จะมีรายได้ที่เติบโตขึ้นว่านี้อีกในไตรมาสเดือนธันวาคม” ทั้งๆ ที่คุกบอกว่า Apple อาจจะต้องเจอวิกฤตขาดแคลน ซึ่งอาจจะหนักว่าที่โดนไป 6 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสเดือนกันยายนที่ผ่านมาอีก แต่คุกกลับกล่าวว่าไตรมาสเดือนธันวาคมจะสามารถทำรายได้ได้สูงเป็นประวัติการณ์
นอกจากนั้น ลูก้า มาเอสตรี ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน ของ Apple กล่าวในการพูดคุยกับนักวิเคราะห์ว่ายอดขาย iPad จะลดลงเมื่อเทียบเป็นรายปีในไตรมาสเดือนธันวาคม เนื่องจากข้อจำกัดด้านอุปทาน ในขณะที่หมวดหมู่ผลิตภัณฑ์อื่นๆ จะเติบโตขึ้น
“เราผ่านมาได้ 1 เดือนจากทั้งไตรมาสแล้ว และปัญหาการหยุดชะงักของการผลิตที่เกิดจากโควิดก็เริ่มดีขึ้นอย่างมาก แต่การขาดแคลนชิปก็ยังคงมีอยู่” คุก กล่าว
ความคาดหวังในการเติบโตของยอดขายปีต่อปีชี้ให้เห็นว่า Apple มองเห็นถึงความต้องการของลูกค้าใน iPhone 13 ที่พึ่งเปิดตัว ซึ่งจะมีความต้องการมากกว่าที่จะสามารถผลิตได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยยอดขายในไตรมาสที่ 4 ของ Apple นั้นบันทึกยอดขายของ iPhone 13 ที่วางขายไปแค่ไม่กี่วันเท่านั้น เพราะไตรมาส 4 ที่นับตามปีทางบัญชีของ Apple นี้จะนับสิ้นสุดในวันที่ 25 กันยายน
ปัจจุบัน Apple ถือว่ามีเติบโตเป็นอย่างมาก เนื่องจากยอดขาย iPhone, iPad และ Mac พุ่งสูงขึ้นในช่วงการระบาดใหญ่ และรายรับประจำปีของ Apple ในปีทางบัญชี 2021 ก็เพิ่มขึ้น 33% จากปี 2020 เป็น 3.66 แสนล้านดอลลาร์ หรือ 12 ล้านล้านบาท
การเติบโตที่แข็งแกร่งที่สุดในหมวดหมู่ต่างๆ ของ Apple นอกเหนือจาก iPhone แล้ว มาจากรายได้จากการบริการ ทั้งยอดขายจาก App Store, การสมัครสมาชิกรายเดือนในบริการเพลงและวิดีโอ, การโฆษณา, การขยายการรับประกัน และการอนุญาตให้ใช้สิทธิ์ เป็นต้น ซึ่งบริการของ Apple เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องถึง 26% ต่อปี ซึ่ง คุก กล่าวว่า เป็นตัวเลขที่สูงกว่าที่เราคาดการณ์ไว้เสียอีก โดย Apple มีผู้สมัครสมาชิกถึง 745 ล้านผู้ใช้ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นบริการอย่าง Apple Music, App Store ของ Apple ก็ตาม “นั่นเพิ่มขึ้นประมาณ 160 ล้านผู้ใช้ต่อปี ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่าใน 5 ปี นี้ถือเป็นการเติบโตที่ค่อนข้างรวดเร็ว” คุกกล่าว
ในส่วนของ Mac ไม่ได้มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งมากนั้น เพิ่มขึ้นเพียง 1.6% ต่อปีเท่านั้น ซึ่งตัวเลขในไตรมาสนี้ยังไม่รวมยอดขาย MacBook Pro รุ่นใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวในเดือนตุลาคมนี้ และในส่วนของ iPads เติบโตขึ้นถึง 21% ต่อปี แม้ว่าจะมีข้อจำกัดด้านซัพพลายก็ตาม นอกจากนั้นผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของ Apple อย่าง Apple Watch และ AirPods เพิ่มขึ้น 11% ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้มีการวางจำหน่ายรุ่นใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวในเดือนตุลาคมนี้
อ้างอิง:
- https://www.cnbc.com/2021/10/28/apple-aapl-q4-2021-earnings.html
- https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-10-28/apple-tumbles-after-supply-crunch-hurts-iphone-maker-s-sales
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP