Apple ได้ประกาศผลประกอบการในช่วงไตรมาสที่ 3 ประจำปีงบประมาณ 2018 (เมษายน-มิถุนายน) ออกมาเมื่อวันอังคารที่ 31 กรกฎาคม ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐอเมริกา โดยพบว่าพวกเขากวาดรายรับรวมไปทั้งสิ้นกว่า 53,300 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งยังขยับเข้าใกล้การเป็นบริษัทในสหรัฐอเมริการายแรกที่จะมีมูลค่าทั้งบริษัทรวมเป็นหลักล้านล้านเหรียญสหรัฐ
Apple มีรายรับรวมในช่วงไตรมาสที่ 3 กว่า 53,300 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตกว่า 17% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสเดียวกันของปี 2017 คิดเป็นกำไรทั้งสิ้นกว่า 11,500 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยยอดขายสินค้าในต่างประเทศถือเป็น 60% ของรายได้ประจำไตรมาส
เมื่อจำแนกการจำหน่ายสินค้าเป็นรายผลิตภัณฑ์จะพบว่าพวกเขาสามารถขาย iPhone ได้มากกว่า 41.3 ล้านเครื่อง หรือ 56% ของรายรับ (ประเมินไว้ที่ 41.79 ล้านเครื่อง), ขาย iPad ได้รวม 11.55 ล้านเครื่อง หรือ 9% ของรายรับ (ประเมินไว้ที่ 10.3 ล้านเครื่อง) และขาย Mac ได้รวม 3.7 ล้านเครื่อง หรือ 10% ของรายรับ (ประเมินยอดขายไว้ที่ 4.26 ล้านเครื่อง) ส่วนอีก 18% และ 7% ของรายรับมาจากค่าบริการและรายได้อื่นๆ ตามลำดับ
ทิม คุก ซีอีโอประจำบริษัท กล่าวว่า “ผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ของเราถูกขับเคลื่อนด้วยยอดขายอันแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องของ iPhone ธุรกิจบริการ และอุปกรณ์ต่างๆ และเรารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ของเรา”
ด้วยรายรับที่อู้ฟู่ขนาดนี้ มีรายงานว่า Apple มีลุ้นจะขยับเป็นบริษัทรายแรกของสหรัฐอเมริกาที่จะมีมูลค่ารวมทั้งบริษัทอยู่ในหลักล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่ง ณ ปัจจุบัน Apple จะต้องทำให้หุ้นของพวกเขามีมูลค่าเพิ่มขึ้นที่ 5% ให้ได้
พร้อมกันนี้ Apple ยังได้ตั้งเป้าในช่วงไตรมาสที่ 4 ที่จะถึงนี้ไว้ว่าจะต้องทำรายได้ให้ถึงราว 60,000-62,000 ล้านเหรียญสหรัฐให้ได้ และจะต้องมีกำไรขั้นต้นอยู่ระหว่าง 38-38.5% จากรายรับทั้งหมด
อ้างอิง: