Apple ได้ออกมาเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา โดยพบว่าบริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 59,685 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.86 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2019 ที่ 11% ในจำนวนนี้รายได้หลักในสัดส่วนมากกว่า 44% ยังคงมาจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม iPhone ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 11,253 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 12%
เมื่อจำแนกรายได้ของบริษัท Apple ในไตรมาสนี้ตามประเภทสินค้าและบริการ จะพบว่า ‘iPad’ คือผลิตภัณฑ์ที่มียอดขายเติบโตที่สุดเมื่อเปรียบเทียบแบบปีต่อปีที่ 31% ตามมาด้วย Mac ที่เพิ่มขึ้น 21.6%, สินค้าประเภท Wearables, Home และ Accessories ที่เติบโตขึ้น 16.7% และรายได้จากการให้บริการและการจำหน่าย iPhone ที่เติบโตขึ้นที่ 14.8% และ 1.6% ตามลำดับ
ส่วนรายได้ของบริษัท Apple ที่มาจากตลาดในแต่ละภูมิภาคนั้นยังคงมาจาก ‘อเมริกา’ เป็นหลักที่ 45% ตามมาด้วยยุโรปที่ 23.7%, จีน 15.6%, ญี่ปุ่น 8.3% และประเทศอื่นๆ ที่เหลือในภูมิภาคอาเซียนอีก 7%
ทิม คุก ซีอีโอ Apple กล่าวผ่านรายงานแถลงผลประกอบการว่า “ผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2 ที่เป็นประวัติการณ์นี้เป็นผลมาจากการขับเคลื่อนการเติบโตในเลขสองหลักของการจำหน่ายสินค้าและบริการ
“ในช่วงเวลาและสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน ณ ขณะนี้ ผลงานเช่นนี้นับเป็นหลักฐานที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญและบทบาทของผลิตภัณฑ์ Apple ที่มีต่อการใช้ชีวิตของลูกค้าของเรา และนวัตกรรมที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง นี่เป็นช่วงเวลาที่ท้าทายเป็นอย่างมากสำหรับชุมชนของเรา
“นับตั้งแต่การจัดตั้งกองทุนเพื่อความยุติธรรมทางชาติพันธ์ุมูลค่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตลอดจนความมุ่งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจสู่การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ภายในปี 2030 ทั้งหมดคือความตั้งใจในการดำเนินการตามหลักการที่ว่า สิ่งที่เราทำควรจะสร้างโอกาสและทำให้โลกใบนี้ดีขึ้นกว่าเก่า”
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์