ในระหว่างที่ Apple กำลังเตรียมพร้อมกับปี 2024 สำหรับการออกผลิตภัณฑ์ใหม่หลายรายการ แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็มีความท้าทายหลายอย่างรออยู่ เช่น การไล่ตามบิ๊กเทครายอื่นให้ทันในสังเวียนแห่ง AI, การเตรียมพร้อมเปิดตัว Vision Pro และประเด็นที่ Apple Watch ถูกระงับการจำหน่ายไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา
Bloomberg ออกบทวิเคราะห์ว่า 2024 จะเป็นปีที่ Apple อาจต้องให้ความสนใจส่วนอื่นๆ มากกว่าแค่กับ iPhone เพราะในระหว่างที่บริษัทกำลังรอประกาศผลประกอบการ นักวิเคราะห์ต่างก็ออกมาคาดว่าครั้งนี้จะเป็นไตรมาสที่ 5 ติดต่อกันที่ยอดขายของบริษัทลดต่ำลง ทำให้เกิดความไม่สบายใจมากขึ้นในตลาดหุ้น
ซึ่งข้อกังวลดังกล่าวก็มีแนวโน้มที่จะหนักข้อขึ้นอีกหากตัวเลขรายได้ในประเทศจีนออกมาต่ำกว่าเป้า โดยสถานการณ์ล่าสุด ณ วันที่ 8 มกราคม 2024 ก็เป็นไปในทิศทางที่ไม่ค่อยจะสู้ดี เมื่อ CNBC เผยข้อมูลว่ายอดขาย iPhone สัปดาห์แรกในประเทศจีนร่วงลงกว่า 30% เมื่อเทียบแบบรายปี
หากมองย้อนกลับไป จากรายงานยอดขายของ Apple ประจำไตรมาส 4 Mark Gurman ผู้เขียนบทวิเคราะห์นี้ระบุเอาไว้ว่า ข้อมูลตัวเลขภายในรายงานได้ส่งสัญญาณว่ายอดขาย iPhone อาจจะไม่ได้สูงอย่างที่หลายฝ่ายอยากเห็น
ในช่วงเดือนตุลาคมปี 2023 Luca Maestri หัวหน้าฝ่ายการเงิน Apple เคยกล่าวไว้ว่า “เราคาดว่ารายได้จาก iPhone ปีนี้จะเติบโตขึ้นแบบปีต่อปี ซึ่งเป็นตัวเลขที่คำนวณออกมาได้หลังจากนำปัจจัยความวุ่นวายในด้านซัพพลายเชนของปี 2022 และช่วงเวลา 1 สัปดาห์ที่เพิ่มขึ้นในปีปฏิทินบริษัทของ Apple เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการคำนวณแล้ว” ซึ่ง Gurman ได้ระบุว่า ความหมายที่แท้จริงของคำพูดข้างต้นกำลังบอกถึงการเติบโตของยอดขาย iPhone ที่จะเพิ่มขึ้นแค่เพียงเล็กน้อยในปี 2024
ถึงแม้ว่าการเพิ่มยอดขาย iPhone ในปีนี้ดูจะเป็นเรื่องที่ท้าทาย โดยเฉพาะกับการสั่งห้ามใช้อุปกรณ์ที่ไม่ได้ผลิตในประเทศจีนโดยรัฐบาลจีน แต่ Gurman ก็คิดว่า iPhone ยังไม่ใช่ปัญหาที่ท้าทายที่สุดสำหรับ Apple
ทว่าประเด็นต่างๆ ต่อไปนี้ต่างหากที่เป็นความท้าทายของ Apple ในปี 2024:
- ความล่าช้าในการพัฒนาเทคโนโลยี Generative AI ที่ตามหลังหลายบริษัทและเสี่ยงที่จะถูกทิ้งห่างมากขึ้นท่ามกลางบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft, Amazon, Samsung, และ Alphabet ที่ได้มุ่งหน้าชู AI ให้เป็นศูนย์กลางของธุรกิจพวกเขาแล้ว
- Vision Pro สินค้าหมวดหมู่ใหม่ในรอบเกือบ 10 ปี ที่ยังคงไม่สามารถแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มของการเป็นตัวขับเคลื่อนหลักให้เกิดรายได้กับบริษัทได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งกว่าจะไปถึงจุดนั้นน่าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยอีก 1-2 ปี
- iPad และ Mac เป็น 2 หมวดหมู่ที่ทำผลประกอบการได้ไม่ค่อยดีในไตรมาสที่ผ่านมา และจำเป็นจะต้องถูกพิจารณาทิศทางใหม่
- หน่วยงานกำกับดูแลต่อต้านการผูกขาดยังคงเดินหน้าตรวจสอบ App Store ซึ่งน่าจะขยายผลจากสหภาพยุโรปไปยังพื้นที่อื่น ในการที่บริษัทปฏิบัติตาม Digital Markets Act ที่เคลมว่าจะทำให้การแข่งขันในสังเวียนเทคเท่าเทียมขึ้น
Apple รั้งท้ายบิ๊กเทคในเรื่อง AI ยอดขายเริ่มซบเซา และกฎหมายที่ไม่เอื้อต่อบริษัท
ขอเริ่มด้วย Generative AI เป็นอย่างแรก จากที่ทาง Apple กำลังพัฒนาโมเดลภาษาขนาดใหญ่ของตัวเองชื่อว่า ‘Ajax’ และมีแผนจะเปิดตัวในเดือนมิถุนายนของปีนี้ในงาน Worldwide Developers Conference แต่การปล่อยในช่วงเวลานั้นก็แทบจะช้ากว่าการมาของ ChatGPT ไปแล้วเกือบ 2 ปี
ในมุมของผู้ใช้งานทั่วไป Apple เล็งที่จะเพิ่มฟีเจอร์ปัญญาประดิษฐ์เข้ามาทำหน้าที่อย่างเช่น ทำสรุปแบบอัตโนมัติลงบนในแอปพลิเคชันอย่าง Pages และ Keynote พร้อมทั้งยังมุ่งหน้าพัฒนาการผนวก AI เข้ากับบริการอย่าง Apple Music และวางแผนที่จะเปลี่ยนโฉมครั้งใหญ่ของผู้ช่วยอัจฉริยะของค่ายอย่าง Siri
ส่วนในฝั่งของนักพัฒนา Apple ก็กำลังพัฒนาเครื่องมือที่มีปัญญาประดิษฐ์ฝังอยู่ภายใน เพื่อให้ใช้สำหรับงานเขียนโค้ดต่างๆ ที่สามารถทำได้ง่ายยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ภาพฝันใน Generative AI ของ Apple อาจจะต้องใช้เวลาถึงปี 2025 กว่าจะถูกใช้งานอย่างเต็มที่และแพร่หลาย แต่ในปัจจุบันคู่แข่งหลักอย่าง Samsung ก็ตั้งตารอที่จะเปิดตัวสมาร์ทโฟน Galaxy S24 ที่เน้นฟีเจอร์ AI แบบจัดเต็มภายในสิ้นเดือนนี้แล้ว
ความล่าช้านี้อาจเป็นโอกาสให้ Samsung สามารถเร่งตัวเองในการก้าวให้ทัน Apple ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีส่วนบุคคลก็เป็นได้
การเพิ่มยอดขายฮาร์ดแวร์อย่าง Apple Watch, AirPods, Mac และ iPad ก็เป็นเรื่องที่ยากเช่นเดียวกัน อย่างกรณีล่าสุดที่ Apple Watch ถูกสั่งห้ามไม่ให้จำหน่ายด้วยข้อพิพาทด้านทรัพย์สินทางปัญญาเกี่ยวกับฟีเจอร์การวัดค่าออกซิเจนในเลือด ก็ส่งผลให้การขายสะดุดไป และในส่วนของ AirPods การปรับโฉมใหม่ที่จะทำให้กลุ่มลูกค้าในตลาดกลางถึงล่างหันมาสนใจมากขึ้นก็เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อดันยอดขายในสินค้าประเภทนี้
สำหรับ iPad ทางบริษัทก็ไม่ค่อยได้โฟกัสมาตั้งแต่ปีที่แล้ว และ MacBook เองก็ทำได้ไม่ดีพอที่จะให้สาวกรู้สึกตื่นเต้นได้มากเท่าเมื่อก่อน จนมาถึงสินค้าใหม่อย่าง Vision Pro ที่มีข้อกังวลว่าประสบการณ์การใช้งานอาจจะไม่ดีตามความหวังที่ลูกค้าตั้งไว้ รวมไปถึงดีไซน์ที่ค่อนข้างแปลกและน้ำหนักที่ยังไม่เหมาะสม
อีกหนึ่งอุปสรรคใหญ่ๆ ของปีนี้กับ Apple ก็คือผลกระทบเชิงกฎหมายกับ App Store โดยเฉพาะตัวของ Digital Markets Act ที่ภายในเดือนมีนาคม Apple จำเป็นที่จะต้องแยก App Store ออกเป็น 2 เวอร์ชันคืออันหนึ่งสำหรับสหภาพยุโรป และอีกอันสำหรับที่อื่นนอกโซนยุโรป ซึ่งจะทำให้คนที่อาศัยอยู่ในยุโรปมีตัวเลือกในการโหลดแอปมากขึ้น ทำให้มีแนวโน้มสูงที่การเติบโตของรายได้ของ Apple จะถูกกระทบในเชิงลบจากกฎหมายตัวนี้ โดยยุโรปเป็นเพียงที่แรกและ Gurman คาดว่าหลายประเทศก็น่าจะเอาด้วยในอนาคต
ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญที่จะสนับสนุนการเดินหน้าต่อของบริษัทก็คือแบรนด์ของ Apple เองที่ยังมีความแข็งแกร่งในสายตาของผู้บริโภค จากนี้ต่อไปสิ่งที่ต้องจับตาสำหรับ Apple คือผลตอบรับจาก Vision Pro ที่ล่าสุดได้มีประกาศวันจำหน่ายไว้ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2024 และฟีเจอร์ปัญญาประดิษฐ์ที่จะมาใน iOS 18 กลางปี รวมทั้งการแปลงโฉมของ Apple Watch และ AirPods ว่าทั้งหมดจะมีผลลัพธ์ออกมาในทิศทางใด
ภาพ: Justin Sullivan / Getty Images
อ้างอิง: