เกิดอะไรขึ้น:
ประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 9.4 ล้านคนใน 1Q67 เพิ่มขึ้น 44%YoY และ 16%QoQ การเติบโตที่แข็งแกร่งพบได้ในตลาดนักท่องเที่ยวจีนที่มีจำนวน 1.8 ล้านคนใน 1Q67 เพิ่มขึ้นมากถึง 240%YoY หลังจากจีนเปิดประเทศในปี 2566 และ 71%QoQ สะท้อนถึงผลบวกจากมาตรการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวด้วยการยกเว้นวีซ่าของรัฐบาลไทย ในขณะที่ตลาดนักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ (ไม่รวมประเทศจีน) ยังเติบโตอย่างต่อเนื่องใน 1Q67 แต่เติบโตในระดับที่เป็นปกติมากขึ้นที่ 27%YoY และ 8%QoQ สู่ 7.6 ล้านคน
จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเพิ่มขึ้นจะส่งผลดีโดยตรงต่อ AOT เนื่องจากการดำเนินงานและผลประกอบการของบริษัทขึ้นอยู่กับปริมาณผู้โดยสารระหว่างประเทศเป็นหลัก โดยใน 2QFY67 (มกราคม-มีนาคม 2567) ประเมินจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศที่เดินทางผ่านท่าอากาศยาน 6 แห่งของ AOT จะอยู่ที่ 19.9 ล้านคน เพิ่มขึ้น 42%YoY และ 18%QoQ สู่ 86% ของระดับก่อนเกิดโควิด (เพิ่มขึ้นจากระดับ 60% ใน 2QFY66 และ 83% ใน 1QFY67)
InnovestX Research คาดการณ์กำไรปกติ 2QFY67 ของ AOT ที่ 5.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 203%YoY จากฐานต่ำ และ 25%QoQ สำหรับปี FY2567 (ตุลาคม 2566 – กันยายน 2567) โดยเชื่อว่ากำไรของ AOT จะกลับสู่แนวโน้มขาขึ้นอีกครั้ง และคาดว่ากำไรปกติจะเพิ่มขึ้นก้าวกระโดดสู่ 2.3 หมื่นล้านบาท โดยอิงกับจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศ 75.6 ล้านคน (90% ของระดับก่อนเกิดโควิด)
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น AOT ปรับขึ้น 3.15% สู่ระดับ 65.50 บาทต่อหุ้น ขณะที่ SET Index ปรับขึ้น 0.53% สู่ระดับ 1,379.48 จุด
กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ:
สำหรับ YTD ราคาหุ้น AOT ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 10% แต่ยังต่ำกว่าจุดสูงสุดในเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมาอยู่ 5% และยังปรับตัวขึ้นมาช้ากว่า AAV (หุ้นที่เทียบเคียงได้ในกลุ่มขนส่งทางอากาศ) ซึ่งราคาหุ้นปรับขึ้นมาแล้วถึง 23% ปัจจุบันหุ้น AOT เทรดที่ P/E ปี FY2567 ระดับ 40 เท่า หรือ P/E to Earnings Growth (PEG) ระดับ 0.3 เท่า ต่ำกว่า PEG เฉลี่ยของหุ้นกลุ่มเดียวกันในตลาดภูมิภาคที่ 0.4 เท่า
อย่างไรก็ดี ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อ AOT เนื่องจากบรรยากาศที่ดีสำหรับภาคการท่องเที่ยวจะช่วยสนับสนุนการดำเนินงานและผลประกอบการของ AOT ซึ่งเล็งเห็นโอกาสในการเข้าซื้อสะสม เนื่องจาก AOT ยังมี Risk/Reward ที่น่าสนใจ ทั้งนี้ AOT เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มท่องเที่ยว ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 อ้างอิงวิธี DCF อยู่ที่ 80 บาทต่อหุ้น โดยอิงกับ WACC ที่ 7.6% และการเติบโตระยะยาวที่ 2%
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะทำให้ความต้องการเดินทางลดลง ความเสี่ยงประเด็นสำคัญด้าน ESG คือ ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม (E) และประเด็นด้านสังคม เช่น ความปลอดภัย (S)