ในช่วงเวลานี้ หากกล่าวถึงบทบาทในระดับนานาชาติของ อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย คงไม่อาจปฏิเสธถึงเสียงชื่นชมจากหลายชาติต่อนโยบายเศรษฐกิจที่สามารถผลักให้ GDP ของมาเลเซียเติบโตถึง 5.1% ในปี 2024
เสียงตอบรับเชิงบวกของอันวาร์ก็ยิ่งทวีเพิ่มมากขึ้นทุกขณะผ่าน ‘นโยบายการทูตเชิงรุก’ ที่นำมาใช้รับมือกับความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่กำลังเกิดขึ้น จนนำมาสู่การขยายความร่วมมือผ่านสถาบันต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอาเซียน สหภาพยุโรป และกลุ่ม BRICS รวมถึงการเดินสายพบปะผู้นำในหลายประเทศมากกว่า 30 ชาติ ซึ่งวัตถุประสงค์สำคัญของความร่วมมือก็เพื่อขยายฐานเสียงสนับสนุนภายในประเทศของอันวาร์เอง โดยเฉพาะในกลุ่มชาวมุสลิม รวมถึงกระชับความสัมพันธ์ทางการทูต ดึงดูดนักลงทุนจากต่างชาติและสร้างงานภายในประเทศมาเลเซียให้เพิ่มมากขึ้น
ทว่าเมื่อหันกลับมามองถึงบทบาทภายในประเทศของอันวาร์ก็จะเห็นอีกภาพหนึ่งที่มี ‘ความย้อนแย้งกัน’ ไม่ว่าจะเป็นความไร้เสถียรภาพทางการเมืองที่ต้องเผชิญ นับแต่ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี และความเชื่องช้าในการขับเคลื่อนนโยบาย Madani (2.0) ของรัฐบาลที่ยังไม่สามารถบรรลุเป้าประสงค์สำคัญในการปฏิรูปการเมือง รวมถึงแก้ไขปัญหาการคอร์รัปชัน และสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันภายในชาติให้เกิดขึ้นได้
ยิ่งเมื่อนำผลสำรวจความนิยมของประชาชนในปี 2024 ที่มีต่อกลุ่มพันธมิตรพรรครัฐบาล (Pakatan Harapan: PH) ก็ตอกย้ำให้เห็นชัดเจนว่าคะแนนความนิยมของพรรครัฐบาลกระเตื้องขึ้นเพียงเล็กน้อย เพราะการปฏิรูปในชื่อ ‘Reformasi’ ที่อันวาร์พร่ำประกาศขับเคลื่อนมาตลอด กลับเป็นไปอย่างเชื่องช้า ตลอดจนรัฐบาลยังไม่สามารถก้าวข้ามปัญหาภายใน โดยเฉพาะเรื่องชาติพันธุ์ไปได้ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าปัญหาเหล่านี้นอกจากจะยังไม่ได้รับการแก้ไขแล้ว ซ้ำร้ายรัฐบาลยังติดอยู่กับกับดักวงจรเดิมๆ เหมือนที่เคยเป็นมาในหลายยุครัฐบาลก่อนหน้า
แม้ในปีที่ผ่านมา Malaysian Anti-Corruption Commission (MACC) จะเข้าตรวจสอบทรัพย์สินอดีตนักการเมืองคนสำคัญหลายคนตามแนวทางการขจัดคอร์รัปชันของอันวาร์ โดยเริ่มจากดาอีม (Daim Zainuddin) อดีตรัฐมนตรีการคลังและพันธมิตรคนสำคัญของมหาเธร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งสุดท้ายก็เชื่อมโยงมาสู่การตรวจสอบทรัพย์สินของมหาเธร์และบุตรชาย ตลอดจนนักธุรกิจมหาเศรษฐีชั้นนำที่เคยสนับสนุนมหาเธร์ในยุครุ่งโรจน์ (ช่วงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีระหว่างปี 1981-2003) ตามที่หลายฝ่ายคาดเดา อย่างไรก็ดี การเข้าตรวจสอบของ MACC ถูกมองว่าเป็น ‘การเอาคืนทางการเมือง’ ของอันวาร์ โดยนำสถาบันที่อยู่ภายใต้รัฐบาลมาใช้เป็นเครื่องมือจัดการกับฝ่ายตรงข้าม มากกว่าที่จะเป็นความตั้งใจกวาดล้างการคอร์รัปชัน ด้วยเป็นที่รู้กันดีว่าทั้งดาอีมและมหาเธร์ล้วนเป็น ‘คู่ปรับคนสำคัญ’ ของอันวาร์มาแต่ไหนแต่ไร
ในทางตรงกันข้าม นักการเมืองคนสำคัญของพรรคอัมโนอีกหลายคนที่พัวพันกับข้อกล่าวหาคอร์รัปชันกลับยังคงดำรงตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลและยังได้รับการคุ้มครองทางการเมือง เช่น รองนายกรัฐมนตรี Ahmad Zahid Hamidi และรัฐมนตรีกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม Tengku Zafrul Abdul Aziz ซึ่งย้อนแย้งกับนโยบาย Madani ที่ต้องการสร้างธรรมาภิบาลให้เกิดขึ้น ยังไม่นับรวมถึงการเดินหน้าของพรรคอัมโนที่ขอพระราชทานอภัยโทษทั้งหมดให้แก่ นาจิบ ราซัค อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตผู้นำอัมโนในคดี 1MBD สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้อันวาร์ต้องตกอยู่ใน ‘ภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก’ ระหว่างความต้องการที่จะอยู่ในอำนาจจนจำต้องจับมือกับพรรคอัมโนเพื่อจัดตั้งรัฐบาลกับความต้องการปฏิรูปการเมืองตามที่เคยรณรงค์ไว้มาเป็นเวลาหลายทศวรรษ
ในเรื่องของชาติพันธุ์ก็เช่นเดียวกัน อันวาร์เคยประกาศอย่างชัดเจนว่าจะวางตนเป็น ‘ผู้นำของชาวมาเลเซียทุกคน’ ทั้งยังเน้นย้ำถึงการสร้างประเทศให้เป็น ‘พหุชาติพันธุ์’ อย่างแท้จริง มิใช่ผู้นำที่จะตอบสนองเพียงความต้องการของชาวมลายูมุสลิมดังเช่นในรัฐบาลหลายชุดก่อนหน้า
อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดระหว่างชาติพันธุ์กลับปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่องและถูกนำมาใช้ประโยชน์ทางการเมืองทั้งในฝ่ายของพรรครัฐบาลและฝ่ายค้าน ซึ่งต้องไม่ลืมว่า ‘การจัดตั้งรัฐบาลผสม’ ของอันวาร์นั้นแม้จะกุมเสียงข้างมากในสภาไว้ได้ แต่เสียงสนับสนุนส่วนใหญ่ของกลุ่ม PH มาจาก ‘กลุ่มชาวจีน’ เป็นหลัก มิใช่ชาวมลายูมุสลิมที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ บวกกับ ‘พลังคลื่นสีเขียว’ (Green Wave) ที่สนับสนุนพรรคแนวทางอิสลามที่ขยายตัวเพิ่มมากขึ้นในปี 2023 โดยเฉพาะพรรคปาส (PAS) ที่เป็นหนึ่งในพรรคพันธมิตรของฝ่ายค้าน (Perikatan Nasional: PN) หลังได้รับชัยชนะการเลือกตั้งระดับรัฐครั้งที่ 15 ในหลายรัฐ โดยกลุ่ม PN สามารถกวาดที่นั่งไปได้ถึง 146 จาก 245 ที่นั่ง เสียงสนับสนุนที่เพิ่มขึ้นเหล่านี้อาจตีความได้ถึง ‘ความคับข้องใจ’ ของชาวมลายูมุสลิมต่อแนวทางการปฏิรูปที่เชื่องช้าบวกกับปัญหาการคอร์รัปชัน และความไม่พอใจต่อการขับเคลื่อนนโยบายพหุชาติพันธุ์ของอันวาร์ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อคนกลุ่มนี้ ดังนั้น การสนับสนุนพรรค PAS ที่เพิ่มขึ้นยิ่งตอกย้ำให้เข้าใจได้ว่า ชาวมุสลิมในประเทศมิใช่เพียงแค่ต้องการสงวนไว้ซึ่งสิทธิพิเศษของพวกตน หากยังต้องการขยายสิทธิพิเศษที่มีและปกป้องมิให้สิทธินั้นถูกลดทอนลงไปด้วย
แม้อันวาร์จะแสดงออกและคาดหวังอย่างมากที่จะกลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหากชนะการเลือกตั้งที่น่าจะมีขึ้นอย่างช้าที่สุดในปี 2028 ซึ่งก็คงต้องจับตาดูกันว่าเวลาที่เหลืออีกครึ่งทางของรัฐบาลอันวาร์จะสามารถแก้ไขปัญหาข้างต้นและก้าวพ้นวังวนเดิมๆ ได้ตามที่เคยประกาศในช่วงหาเสียงเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาได้หรือไม่ ยังไม่นับรวมปัญหาอื่นๆ ที่ถาโถมเข้ามาเป็นระยะ ทั้งเรื่องภาพลักษณ์การแบ่งพรรคแบ่งพวกและการสนับสนุนบุตรสาวให้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญภายในพรรคของตน รวมถึงการแต่งตั้งบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนเข้าดำรงตำแหน่งสำคัญในหลายหน่วยงาน ดังนั้นแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่อันวาร์ต้องใช้เวลาที่เหลืออยู่กอบกู้ภาพลักษณ์และขับเคลื่อนการปฏิรูปให้มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
ภาพ: Leon Neal / Getty Images