วันนี้ (2 พฤศจิกายน) อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงนโยบายของรัฐบาลในการเปิดประเทศถือเป็นความท้าทายของกระทรวงสาธารณสุข ในการควบคุมป้องกันโรค เพื่อสร้างความเชื่อมั่นของระบบสาธารณสุขแก่นานาประเทศ รวมถึงฟื้นฟูเศรษฐกิจ
ซึ่งวานนี้ (1 พฤศจิกายน) การเปิดประเทศวันแรกมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามากว่า 2,000 คน ได้รับรายงานว่าผู้ที่เดินทางเข้ามามีความพึงพอใจในขั้นตอนและมาตรการของด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ โดยทุกคนต้องมีหลักฐานการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม และได้รับการคัดกรองตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR ในโรงแรมที่จัดไว้ พักรอผลตรวจ 1 คืน หากไม่พบเชื้อสามารถท่องเที่ยวและประกอบธุรกิจต่างๆ ในประเทศได้ ซึ่งขณะนี้ยังไม่พบการติดเชื้อในกลุ่มผู้เดินทางเข้ามาแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ตนได้กำชับให้อธิบดีกรมควบคุมโรค เร่งลดขั้นตอนต่างๆ ที่ไม่จำเป็น และอำนวยความสะดวกให้กับผู้มาใช้บริการให้มากที่สุด ซึ่งหลังจากนี้จะมีผู้เดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น ได้กำชับให้ผู้ตรวจราชการทุกเขตสุขภาพ ร่วมกับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดบูรณาการร่วมกับทุกฝ่าย จัดทำแผนเผชิญเหตุและลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมรับสถานการณ์ทุกระดับของการเปิดประเทศ
พร้อมทั้งให้เร่งฉีดวัคซีน ตั้งเป้าให้ครบ 100 ล้านโดสภายในเดือนพฤศจิกายน พื้นที่ทุรกันดารเข้าถึงยากให้จัดบริการเชิงรุก เฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรคในกลุ่มเสี่ยง/เปราะบาง พื้นที่เสี่ยง กิจกรรมและกิจการเสี่ยง รวมถึงฉีดวัคซีนให้กับแรงงานต่างด้าว ยืนยันมีวัคซีนเพียงพอไม่กระทบกับการบริการคนไทย ส่วนแรงงานต่างด้าวที่ต่ออายุการทำงานหรือรายใหม่ที่จะเข้ามาหลังเปิดประเทศ ต้องได้รับวัคซีนครบโดส กรณีเข้ามาผิดกฎหมาย จะฉีดวัคซีนก่อนส่งให้ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เพื่อสร้างความปลอดภัยแก่คนในประเทศ
“การเปิดประเทศเป็นความท้าทายที่กระทรวงสาธารณสุขต้องพิสูจน์อีกครั้ง อย่างไรก็ตามการติดเชื้อยังอาจคงมีอยู่ แต่สิ่งที่สำคัญคือต้องลดอัตราการเสียชีวิต ลดการป่วยหนัก จึงต้องมีการคัดกรองอย่างเต็มที่ มีระบบสาธารณสุขรองรับการดูแลสุขภาพประชาชน เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศต่อไป” อนุทินกล่าว
อนุทินกล่าวต่อไปว่า สำหรับกรอบแนวทางการดำเนินงานด้านการแพทย์และสาธารณสุข รองรับการเปิดประเทศและการระบาดของโควิด จะยึด 4 เป้าหมาย เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับโควิดได้ ได้แก่ สร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนในการใช้ชีวิตวิถีใหม่ ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายใต้มาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโควิดตามหลักการแพทย์และสาธารณสุข, สร้างความมั่นคงด้านสุขภาพ ให้การรักษา เร่งรัดการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมเพื่อลดการป่วยหนัก และเสียชีวิต, ฟื้นฟูเศรษฐกิจ กระตุ้นให้เศรษฐกิจของประเทศกลับมาฟื้นตัว และเสริมสร้างสังคมและวัฒนธรรม ให้ประชาชนกลับมาดำเนินกิจกรรมด้านสังคม โดยยึดมาตรการป้องกันตนเองขั้นสูงสุด (Universal Prevention)