วันนี้ (10 พฤศจิกายน) เวลา 08.30 น. อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เดินทางมาเยี่ยม โรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก โรงเรียนเก่าที่ท่านเคยศึกษา โดยมี ภราดา ดร.เดชาชัย ศรีพิจารณ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนอัสสัมชัญ, พล.ร.อ.ประพฤติพร อักษรมัต นายกสมาคมอัสสัมชัญ, ร.ศ.ดร.วิชิต คนึงสุขเกษม นายกสมาคมผู้ปกครองและครูโรงเรียนอัสสัมชัญ พร้อมคณะผู้บริหาร ครู นักเรียน และผู้ปกครองให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น
ในการเยือนครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้วางดอกไม้แสดงความเคารพ ณ อนุสาวรีย์ บาทหลวงเอมิล ออกัสต์ กอลมเบต์ ผู้ก่อตั้งโรงเรียนอัสสัมชัญ และ เจษฎาจารย์ ฟ.ฮีแลร์ ผู้แต่งตำรา ดรุณศึกษา อันเป็นหนังสือเรียนชื่อดังในอดีต จากนั้นเข้าคารวะ ภราดาวิริยะ ฉันทวโรดม ที่ปรึกษาโรงเรียนอัสสัมชัญ รวมถึงพบปะอัสสัมชนิกอาวุโสและครูเกษียณที่มารอต้อนรับ พร้อมประกอบพิธีถวายความอาลัยแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
จากนั้น อนุทินได้กล่าวถึงชีวิตในรั้วอัสสัมชัญและให้โอวาทแก่นักเรียนรุ่นปัจจุบันว่า “ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณท่านผู้อำนวยการ ตลอดจนท่านนายกสมาคมผู้ปกครองและนักเรียนโรงเรียนอัสสัมชัญ ที่ให้เกียรติเชิญผมมาร่วมรับแสดงความยินดีจากชาวอัสสัมชัญทุกท่าน ผมต้องบอกว่าตื่นเต้นมาก แม้จะเคยเจอคนเป็นหมื่น ๆ มาก่อน แต่ไม่เคยรู้สึกตื่นเต้นเท่ากับการกลับมาที่โรงเรียนเก่า เพราะยังรู้สึกกลัวคุณครูเหมือนเดิม”
นายกรัฐมนตรีเล่าด้วยรอยยิ้มว่า ยังจำคุณครูทุกท่านได้ดี และยังจำเหตุการณ์ในชั้นเรียนที่ตนเคยได้ศูนย์คะแนนจากการวางสูตรและทำโจทย์ผิดพลาด ซึ่งกลับกลายเป็นแรงผลักดันสำคัญในชีวิต ตอนนั้นผมได้ศูนย์คะแนนจากมาสเซอร์ไพโรจน์ รัศมีมารีย์ ได้คณิตศาสตร์ 0 คะแนน แต่นั่นทำให้เรามีความต้องการเอาชนะ จนสุดท้ายอีกสามสี่ปีต่อมาก็สามารถแก้ไขได้ เรียนต่อทางด้านวิศวกรรม และจบจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ได้สำเร็จ
ส่วน มิสสุดาอร สัจธรรม เป็นครูประจำชั้นตั้งแต่ ป.1 ซึ่งเปรียบเสมือนแม่และคอยดูแลเด็ก ก่อนจะยอมรับว่าเข้าเรียนช่วงแรกร้องไห้อยากกลับบ้าน และยังได้แรงบันดาลใจจากโรงเรียนนี้ในการเรียนภาษาอังกฤษ ต้องใส่หูฟัง ซึ่งตอนนั้นไม่ได้สนใจภาษาอังกฤษเท่าไหร่ แต่ได้ลองกดปุ่มต่างๆ บนโต๊ะ ทำให้เกิดจินตนาการ สมมติว่าตนเองเป็นนักบิน จนมาวันนี้ได้เป็นนักบินและขับเครื่องบินจริงๆ และทำประโยชน์ให้กับประเทศ ส่งมอบอวัยวะสำคัญให้กับประชาชน
ส่วน มาสเซอร์พนาเวศ หลายรัตน์ เป็นผู้ที่ผูกพันที่สุด เปรียบเสมือนผู้มีพระคุณสูงสุดในโรงเรียน “พอได้ 49 คะแนน มาสเซอร์ปัดให้เป็น 51 ด้วยความเมตตา และเรียกแม่ของตนมาให้เคี่ยวเข็ญตนเองให้มากกว่านี้ เพราะถ้าปล่อยไปแบบนี้เป็นโจรแน่นอน” ทั้งนี้ โรงเรียนอัสสัมชัญได้บ่มเพาะให้พวกเราเป็นผู้เป็นคน เติบโตมั่นคง เป็นคนดี ที่สำคัญนักเรียนอัสสัมชัญทำให้ละอายและเกรงกลัวต่อการทำชั่ว
นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า สิ่งที่ทำให้พวกเราทุกคนเป็นผู้เป็นคน ได้ดิบได้ดี เติบโตด้วยความมั่นคง ที่สำคัญที่สุดคือความเป็นนักเรียนอัสสัมชัญ ทำให้เราเกรงกลัว ละอายต่อการทำชั่ว เพราะการปลูกฝังของอัสสัมชัญ ตั้งแต่เข้า ป.1 มาสายไม่ได้ ถ้ามาสายลูกท่านจะถูกตี ขอให้น้องๆ จำไว้ว่า อีก 10 ปี เราจะนึกว่าเราโชคดีมากที่ได้มาร้องเพลงชาติ ร้องเพลงอัสสัมชัญ ตอนเย็นวันศุกร์ได้ร้องเพลงสดุดีมหาราชา การปลูกฝังแบบนี้มาเป็นเวลา 10 ปี ทำให้เราต้องภาคภูมิใจในสถาบันของเรา ทั้งสถาบันการศึกษา สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
“นักเรียนอัสสัมชัญลายมือสวย อ่านได้ทุกคน รุ่นตอนใช้ปากกาคอแร้ง เส้นขึ้นต้องบาง เส้นลงต้องหนา ถ้าทำไม่ได้ต้องคัดเป็นเล่มๆ ซึ่งทำให้เรามีความละเอียด มีความระมัดระวัง เป็นการปลูกฝังเป็นนิสัย ทุกวันนี้ผมดีใจมาก อยู่ในกระทรวงหรือในทำเนียบรัฐบาล ลูกน้องมักจะเดินมาบอกว่าลายมือท่านอ่านง่าย สวยจัง ผมบอกว่า ‘มาจากอัสสัมชัญครับ’ และผมไม่ใช้ปากกาลูกลื่น แต่จะใช้ปากกาหมึกซึมจนติดเป็นนิสัยถึงทุกวันนี้”
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า “เราจะรู้ก็ต่อเมื่อหลุดจากรั้วไปแล้ว เล่นดนตรีได้ มีวินัย เวลาที่ต้องไปยืนรับเสด็จตามหน้าที่ ผมสามารถยืนหลังตรงได้ เพราะอัสสัมชัญสอนมา และวิชาความรู้จะนำพาให้เราไปสู่อนาคตที่ดี และเมื่อจบไปแล้วเจอกันอัสสัมชัญ รุ่นพี่รุ่นน้อง เปรียบเหมือนเกตเวย์ถูกเปิดออก จากยากเป็นง่าย หนักเป็นเบา ความใกล้ชิดเกิดขึ้นแล้ว เราพยายามสนับสนุนซึ่งกันและกัน ไม่มีหรอกคำว่า ‘เป็นกลาง’ เข้าข้างอัสสัมชัญเสมอ ฝากให้น้องๆ ได้ซึมซับไว้ วันหนึ่งเราจะกลับมายินดีปรีดาที่ได้เรียนที่สถาบันแห่งนี้”
“ทุกวันนี้กลางคืนนาน ๆ ที ยังฝันว่าถูกมาสเซอร์ตี ตื่นขึ้นมาเหงื่อแตกท่วมตัวด้วยความกลัว เพราะมันปลูกฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก และเวลาทำงานก็จะนึกถึงว่า ทำไม่ดีไม่ได้ ถ้าทำแบบนี้จะถูกตี รวมถึงทำให้เรามีระเบียบวินัยอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะทำให้เราเป็นคนที่สมบูรณ์ในหน้าที่การงานทั้งหมดได้จากอัสสัมชัญ ฝากน้อง ๆ ทั้งหลายต้องเพิ่มวินัยให้กับตนเอง และใฝ่รู้ให้มากที่สุด ซึ่งจะทำให้เราอยู่ในอนาคตที่มีการแข่งขันมากมายได้”
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า “เราสามารถหาสิ่งที่เราไม่รู้ได้ ทุกวันนี้ไม่ต้องลอกการบ้านเพื่อนแล้ว เปิด Google อย่างเดียว หรือ ChatGPT เขียนออกมายิ่งกว่าครูเขียนอีก แต่เราต้องเรียนรู้ และเข้าใจให้มากขึ้น เพราะไม่มีใครมาเคี่ยวเข็ญเราอีกแล้ว อย่าลืมหาโอกาสคิดถึงบ้านเมือง คิดถึงประเทศ คิดถึงอนาคตของพวกเรา คิดถึงคุณพ่อคุณแม่หรือลุงๆ ที่จะต้องพึ่งพาให้น้องๆ ได้ดูแล ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ให้อยู่ได้ด้วยศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ที่ดี เมืองไทยหรือประเทศไหนก็ตาม ก็จะเปลี่ยนผ่านไปทีละยุค ก็ต้องฝากประเทศนี้ไว้กับมือของลูกๆ หลานๆ อัสสัมชัญรุ่นปัจจุบันทุกคน ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ อาจารย์ ตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน และทำให้ประเทศมีความเจริญตลอดไป”
จากนั้นนักเรียนรุ่นปัจจุบันสอบถามนายกรัฐมนตรีว่า หากอยากเป็นนายกฯ ต้องทำอย่างไร นายกรัฐมนตรีจึงตอบว่า “อยากเป็นนายกฯ ต้องเชื่อฟังพ่อแม่ เคารพพ่อแม่ และครูบาอาจารย์ รักษาวินัย ใฝ่รู้ เราอยากเป็นอะไรต้องตั้งเข็มไปทางนั้น ทุ่มเทให้เต็มที่ ก็จะประสบผลที่เราคาดหวังไว้ได้ไม่ยาก” พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้รับมอบรูปภาพและผ้าพันคอรุ่น AC 98 จากศิษย์เก่ารุ่นเดียวกัน
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชม หอเกียรติยศแห่งโรงเรียนอัสสัมชัญ และ ศูนย์การเรียนรู้ วิจัยและพัฒนานวัตกรรม เทคโนโลยีการบินและอวกาศและเทคโนโลยีขั้นสูง บริเวณชั้น 3 อาคารนักบุญหลุยส์-มารีย์ และพบปะนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่หอประชุม หลุยส์-มารีย์ แกรนด์ฮอลล์ โดยร่วมเล่นดนตรีกับวงดุริยางค์โรงเรียนอัสสัมชัญ (AC BAND) ในเพลง สดุดีอัสสัมชัญ และ Stars and Stripes Forever
จากนั้นได้ร่วมให้กำลังใจนักฟุตบอลโรงเรียนอัสสัมชัญ ที่จะเข้าแข่งขัน ฟุตบอลจตุรมิตรสามัคคี ครั้งที่ 31 ซึ่งโรงเรียนอัสสัมชัญเป็นเจ้าภาพ ระหว่างวันที่ 15, 17, 19 และ 22 พฤศจิกายน 2568 ณ สนามศุภชลาศัย สนามกีฬาแห่งชาติ
ทั้งนี้ อนุทินเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนอัสสัมชัญ เลขประจำตัว 25684 รุ่น 98 เข้าเรียนในปี 2515 ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – มัธยมศึกษาปีที่ 6 เป็นนักดนตรีในวงดุริยางค์โรงเรียนอัสสัมชัญ (AC BAND) และได้รับเลือกเป็น อัสสัมชนิกดีเด่น ในโอกาสโรงเรียนอัสสัมชัญครบรอบ 135 ปี เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563
นอกจากนี้ โรงเรียนอัสสัมชัญมีศิษย์เก่าที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก่อนหน้านี้ 4 คน ได้แก่ 1. พระยามโนปกรณ์นิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์) นายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศไทย, ควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรีคนที่ 4, 3. หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีคนที่ 6, 4. ศ.สัญญา ธรรมศักดิ์ นายกรัฐมนตรีคนที่ 12 และอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนที่ 32
















