วันนี้ (4 มิถุนายน) ที่ทำเนียบรัฐบาล สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการเตรียมนำกัญชากลับเข้ามาอยู่ในบัญชียาเสพติด โดยระบุว่า ถ้านำกลับมาเป็นยาเสพติด ก็ต้องเขียนคำอธิบายตามมา คือกฎกระทรวงที่ระบุว่าอะไรทำได้หรือทำไม่ได้ แต่หากไม่ได้เป็นยาเสพติด ต้องใช้ พ.ร.บ.กัญชา กัญชง สิ่งที่ทำได้หรือไม่ได้ก็ต้องเขียนลงไปในกฎหมายดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ปรารถนาคือการนำกัญชามาใช้ในทางการแพทย์และทางเศรษฐกิจ ทั้ง 2 เรื่องนี้จะบันทึกไว้ในกฎหมายหรือในกฎหมายรอง ก็ยังเป็นที่ถกเถียงอยู่ ส่วนตัวนั้นตรงไปตรงมา คือให้ความสำคัญกับเรื่องเศรษฐกิจและสุขภาพ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้สั่งการมา
สำหรับแนวทางของสมศักดิ์คือนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด แล้วระบุเพิ่มเติมในกฎกระทรวงหรือกฎหมายรองว่าสิ่งใดทำได้หรือทำไม่ได้ โดยไม่ต้องออกเป็นกฎหมายหรือ พ.ร.บ. ที่ต้องผ่านความเห็นชอบของสภา โดยในกฎกระทรวงจะเน้นเรื่องการใช้ทางการแพทย์และเศรษฐกิจ พร้อมมองว่าหากไม่ใช่ยาเสพติดแล้วระบุในกฎหมาย จะกลายเป็นว่ามีช่องว่างให้ใช้ในทางสันทนาการ ซึ่งส่วนตัวไม่ต้องการให้มีการใช้ในลักษณะนั้น
สมศักดิ์กล่าวด้วยว่าขณะนี้มีข้อมูลตัวเลขสถิติมากมาย ไม่ว่าจากสถาบันการศึกษา สถาบันทางการแพทย์ และชาติตะวันตก ซึ่งจะฝากให้ฝ่ายโฆษกแถลงข่าวเรื่องนี้ ตลอดจนประเด็นที่คาดว่าจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการรักษาเพิ่มขึ้นนั้น ก็มีหลักฐานยืนยัน เพราะสถาบันทางราชการและมหาวิทยาลัยได้วิเคราะห์ไว้แล้ว
ขณะที่ประเด็นดังกล่าว สมศักดิ์กล่าวว่ารัฐบาลไม่ได้ขัดแย้ง พร้อมย้ำว่าหากออกกฎหมายไม่ให้เป็นยาเสพติด ถ้าง่ายจริงกฎหมายก็คงผ่านสภาไปแล้ว แต่นี่ไม่ผ่านก็แสดงว่ายังมีข้อขัดแย้งอยู่
อนุทินขออย่าเอากัญชามาเป็นเรื่องการเมือง
ขณะที่ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงประเด็นการนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด โดยระบุว่าเป็นเรื่องของกระทรวงสาธารณสุข ส่วนคนที่จะสนับสนุนหรือไม่สนับสนุนให้ไปว่ากันตามหลักวิชาการ
ส่วนจะเป็นปัญหาพรรคร่วมหรือไม่ อนุทินตอบว่าเรื่องนั้นไม่ได้คิด คิดแต่ว่ามันจะเป็นปัญหาของพี่น้องประชาชนหรือเปล่า เรื่องพรรคเรื่องเล็ก เรื่องประชาชนเรื่องใหญ่ ก็ต้องมองถึงประโยชน์และคุณค่าที่ประชาชนจะได้ ให้ไปถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าความพยายามนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดเป็นการดิสเครดิตภูมิใจไทยหรือไม่ อนุทินตอบว่าก็อย่าเอากัญชาเป็นการเมือง จะบอกว่าดิสเครดิตไหม คิดว่าไม่ ถ้าดิสเครดิตเท่ากับรัฐบาลถูกดิสเครดิต ทำทำไม ที่ได้คือการแตกสามัคคี ไม่เป็นผลดีกับใครเลย ให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องมาชี้แจง อย่างเมื่อ 2 ปีก่อน ตนต้องลงนามถอดกัญชาออกจากการเป็นยาเสพติด ตนลงนามในฐานะของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยคณะกรรมการ ป.ป.ส. ให้ถอด ข้อเท็จจริงเป็นแบบนี้ วันนี้ถ้าจะต้องเปลี่ยนก็ต้องมีข้อมูลใหม่ แล้วข้อมูลปัจจุบันต่างกับข้อมูลเมื่อ 2 ปีที่แล้วอย่างไร ถึงจะเอากลับไปเป็นยาเสพติด ก็ต้องชี้แจงกันมา
“สิ่งที่มันขาดคือกฎหมาย มันมีร่างพระราชบัญญัติ ทำไมไม่มีใครพูดเรื่องพระราชบัญญัติควบคุมเลย พูดแต่จะเอากลับไปเป็นยาเสพติด ความรอบรู้ข้อมูลมีเท่าไร เรื่องเพิ่มค่ารักษา ผมก็พูดได้ว่าคนที่รักษาแล้วใช้กัญชาแล้วมันดีก็มีมาก ข้อมูลเท่านั้นแหละที่ดีที่สุด ผมเห็นใจข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข เพราะทุกคนที่อยู่ในระดับผู้บริหารคือคนที่เขาผลักดันกัญชาออกจากยาเสพติด”
เมื่อถามย้ำว่าจะไปคุยกับข้าราชการกระทรวงสาธารณสุขไหม อนุทินตอบว่าไม่คุย ไม่ก้าวก่าย นี่คือการรักษามารยาท แต่โดยส่วนของพรรคเราก็ทำให้ได้เรียบร้อยแล้ว สร้างประโยชน์มากมาย มีการลงทุนเป็นหมื่นล้าน แสนล้าน ใครจะเอากลับไปก็ต้องไปคุยกับทางผู้ประกอบการ ผู้ป่วย คนที่ทำถูกกฎหมาย
อนุทินย้ำว่าขออย่าเอากัญชาเป็นการเมือง แล้วก็มีร่างพระราชบัญญัติที่ใช้ได้ จะเอาร่างภูมิใจไทยก็ได้ หรือจะเอาร่างของกระทรวงที่ท่านอดีตรัฐมนตรีทำไว้ก็ได้หมด
“กฎหมายคือทางออกของทุกอย่าง ที่มันวุ่นเพราะไม่ออกกฎหมาย ทีบุหรี่ไฟฟ้ามาเร่งให้ออกกฎหมาย” อนุทินกล่าว