วานนี้ (5 มิถุนายน) ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยถึงภารกิจการเดินทางเข้าร่วมการประชุมระดับโลกว่าด้วยการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ครั้งที่ 8: Global Platform for Disaster Risk Reduction (GP2025) ของอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในระหว่างวันที่ 3-5 มิถุนายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมนานาชาติ CICG นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ซึ่งมี อรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทยในฐานะรองผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ, ภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และ อุศณา พีรานนท์ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ด้วย
เมื่อเวลา 14.00 น. ของวันที่ 4 มิถุนายน ตามเวลาท้องถิ่นของสมาพันธรัฐสวิสซึ่งช้ากว่าประเทศไทย 5 ชั่วโมง อนุทินได้เข้าร่วมการประชุมเต็มคณะร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ในหัวข้อ ‘Leave no one behind – Realizing the guiding principles of the Sendai Framework’ พร้อมกล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุม มีใจความสำคัญความว่า ประเทศไทยได้บูรณาการหลักการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) กรอบเซนไดเพื่อการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ พ.ศ. 2558-2573 และหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (SEP) เข้าไว้ในแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2564-2570 และเป็นแนวทางปฏิบัติของหน่วยงานทุกระดับจนถึงระดับท้องถิ่น เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งในการจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติทั่วประเทศ
ในปี 2568 รัฐบาลไทยโดยกระทรวงมหาดไทยในฐานะกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ได้จัดทำแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยระดับจังหวัดครบทั้ง 76 จังหวัด ระดับอำเภอและแผนปฏิบัติการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ด้วยการส่งเสริมการจัดการความเสี่ยงภัยพิบัติโดยชุมชน (CBDRM) ให้ครอบคลุมกลุ่มเปราะบาง เช่น สตรี ผู้พิการ ชนกลุ่มน้อย ผู้สูงอายุ และเยาวชน จำนวน 17,646 ชุมชน รวมทั้งสร้างการตระหนักรู้เกี่ยวกับภัยพิบัติ แนวทางปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยตั้งแต่วัยเด็ก ในหลักสูตรการศึกษาตั้งแต่ระดับประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษาลาย ครอบคลุมภัยพิบัติ 11 ประเภท เปิดโครงการอาสาสมัครเยาวชนเพื่อส่งเสริมความเข้าใจและพัฒนาทักษะการตอบสนองต่อภัยพิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ
“ประเทศไทยเล็งเห็นว่า การสร้างศักยภาพให้กับกลุ่มเปราะบางอย่างต่อเนื่องนั้น สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าของภาคีเครือข่ายทุกประเทศต่อวิสัยทัศน์ร่วมกันในการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และเรายังคงทุ่มเทเพื่อทำให้วิสัยทัศน์นี้กลายเป็นจริงอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน” นายอนุทิน กล่าว
จากนั้นในเวลา 15.30 น. อนุทิน ร่วมหารือโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรี ในหัวข้อ ‘Accelerating financing for resilience: Tailored solutions for disaster risk reduction’ ซึ่งอนุทิน ได้กล่าวกับที่ประชุมว่า ภัยพิบัติทางธรรมชาติยังคงเป็นความท้าทายที่สำคัญในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงประเทศไทย นอกจากภัยพิบัติจากฤดูกาลแล้วยังรวมถึงภัยจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรง ซึ่งตามกรอบเซนไดเพื่อลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติปี 2015-2030 มีความท้าทายที่สำคัญ นั่นคือ การลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติที่ไม่เพียงพอ
ในส่วนของประเทศไทยเองที่ได้เกิดอุทกภัยในภาคเหนือ ภาคใต้ และล่าสุดมีผลกระทบจากแผ่นดินไหวในเมียนมาเมื่อ 28 มีนาคม68 เป็นสัญญาณเตือนอย่างชัดเจนถึงความจำเป็นเร่งด่วนของการมีระบบแจ้งเตือนภัยที่เชื่อถือได้เพื่อลดความวิตกกังวลของประชาชน ซึ่งรัฐบาลไทยตระหนักในเรื่องนี้และได้ดำเนินการพัฒนาระบบ Cell Broadcast ที่ส่งสัญญาณแจ้งเตือนผ่านมือถือ ระบบจะใช้งานเต็มรูปแบบในเดือนกรกฎาคมนี้ แต่การมีระบบแจ้งเตือนยังไม่เพียงพอ ต่อไปยังต้องมีการลงทุนกับการประเมินความเสี่ยง แผนที่ความเสี่ยง การฝึกซ้อมและรณรงค์สร้างความตระหนักรู้แก่สาธารณชน ควบคู่การส่งเสริมกลไกการจัดหาเงินทุน ความคุ้มครองประกันภัยสำหรับทรัพย์สินส่วนบุคคล
อนุทิน ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการร่วมกันจัดการภัยพิบัติข้ามพรมแดน อาทิ น้ำท่วมฉับพลันและมลพิษ PM2.5 ที่กำลังส่งผลกระทบในประเทศต่างๆ มากขึ้น ต้องมีกลไกเสริมสร้างการฟื้นตัวร่วมกัน และขอให้ภาคีสหประชาชาติร่วมสนับสนุนทางเทคนิค การประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนาระหว่างกัน
ไตรศุลี กล่าวว่า การประชุม GP เป็นการประชุมตามพันธกรณีของกรอบการดำเนินงานเซนไดเพื่อการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ค.ศ. 2015-2030 (กรอบเซนได) ที่จัดขึ้นต่อเนื่องทุกๆ 2-3 ปี นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 โดยที่ประชุมจะมีการหารือและแลกเปลี่ยนการดำเนินงาน ด้านการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติในหลากหลายมิติที่ครอบคลุมด้านสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี และมีผู้แทนระดับรัฐมนตรีที่กำกับดูแลงานด้านการจัดการภัยพิบัติ เข้าร่วมการประชุมฯ โดยมีสำนักงานเพื่อการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติแห่งสหประชาชาติ หรือ UNDRR เป็นองค์กรหลักดูแลเพื่อเป็นกลไกติดตามการขับเคลื่อน
สำหรับประเด็นหลักของ GP2025 จัดขึ้นภายใต้หัวข้อหลัก ‘Every days counts, act for resilience today’ เพื่อสื่อถึงความเร่งด่วน ในการขับเคลื่อนเป้าหมายของกรอบเซนไดให้บรรลุผลภายในช่วง 5 ปีต่อจากนี้