‘อนุทิน’ นำทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ หารือสภาหอการค้าไทย รับฟังเอกชนทุกมิติ ย้ำเร่งเดินหน้าโรดแมปเศรษฐกิจ 4 เดือนแรก พร้อมรับ 7 ข้อฟื้นฟูด้านเศรษฐกิจ
วันที่ 18 ก.ย.ที่สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี นำทีมว่าที่รัฐมนตรี กระทรวงเศรษฐกิจ อาทิ เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ว่าที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ,ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หารือหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มาวันนี้เพื่อมาพบกับทุกคน และมีรัฐมนตรีที่ดูแลด้านเศรษฐกิจ “ทุกคนในที่นี้ไม่ใช่คนแปลกหน้า ส่วนตัวคือเจอกันมานาน มีความสนิทสนมคุ้นเคย เคารพนับถือกันเป็นอย่างดี สิ่งที่มาวันนี้ เพื่อมาพบทุกท่านและนำว่าที่คณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจมาแนะนำให้รู้จัก เชื่อว่าหลายคนก็รู้จักกันดีอยู่แล้ว”
ดังนั้น วันนี้ตั้งใจมารับฟังรายละเอียด และรับฟังข้อเสนอแนะจากสภาหอการค้าไทย ที่รัฐบาลกำลังจะเน้นการ “เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ” ของประเทศไทย ให้มีความกระชับและเข้มแข็งขึ้นเร็วที่สุด ภายใต้ระยะเวลาที่มีอยู่จำกัด 4 เดือน
อย่างไรก็ตาม การมาพบสภาหอการค้าในครั้งนี้ เป็นแนวทางเดียวกับที่เคยเข้าพบสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เพื่อรับฟังข้อกังวลและข้อเสนอแนะจากภาคเอกชน ก่อนที่รัฐบาลจะเริ่มบริหารราชการแผ่นดิน โดยพยายามรวบรวมข้อมูลให้มากที่สุด เพื่อให้การทำงานเดินหน้าได้รวดเร็ว และตรงตามความต้องการของผู้ประกอบการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกำลังหลักของเศรษฐกิจประเทศ
7 ข้อฟื้นฟูด้านเศรษฐกิจ
พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ยืนยันพร้อมที่จะสนับสนุนภารกิจเร่งด่วน 4 ด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ ,ด้านความมั่นคงชายแดน ,แก้ปัญหาภัยธรรมชาติและภัยสังคม ตามที่รัฐบาลตั้งไว้
ขณะเดียวกัน ได้เสนอ 7 ข้อฟื้นฟูด้านเศรษฐกิจ ได้แก่
- เสริมสร้างความเชื่อมั่นประเทศและนักลงทุน
- เพิ่มสภาพคล่องการเข้าถึงแหล่งเงินทุน
- ลดภาระค่าของชีพและต้นทุนประชาชน
- ส่งเสริมการค้าการลงทุน โลจิสติกส์ และการค้าที่เป็นธรรม รวมถึงสร้างความสามารถทางการแข่งขันให้กับ SMEs
- รักษาความปลอดภัยและเสถียรภาพทางสังคม โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดน
- เตรียมแผนรับมือความเสี่ยงทางการค้าระหว่างประเทศ เช่น เทรดวอร์ และกระตุ้นกำลังซื้อและการท่องเที่ยวของไทย
หวัง ‘คนละครึ่ง’ กระตุ้นเศรษฐกิจโค้งท้ายปี
ส่วนนโยบายที่กำลังถูกจับตามองในแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจ เอกชนได้เสนอโครงการ ‘คนละครึ่ง’ , EASY E-Reciept และผลักดันโครงการใช้ของไทยฟื้น SMEs โดยขอให้จัดเป็นแคมเปญระดับชาติ
เบื้องต้นประเมินว่าหากมีโครงการ ‘คนละครึ่ง’ จะช่วยหนุนให้ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีมีเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจกว่า 70,000 ถึง 100,000 ล้านบาท
อนุทิน เผยอีกว่า ขณะนี้ ได้มอบหมายงานให้กับว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกระพาณิชย์ ให้เตรียมมาตรการเพื่อทำให้การค้าคล่องตัวและราบรื่นที่สุด เพื่อไม่ให้ผู้ค้าเสียเปรียบ ทั้งการเจรจา FTA สิทธิประโยชน์ต่างๆ รวมถึงราคาพืชผลทางการเกษตร
“ไม่เฉพาะค้าขายกับต่างประเทศเท่านั้น การค้าขายในประเทศก็ต้องทำ เพื่อให้มีความคล่องตัวที่สูงลดความเดือดร้อน ของผู้ประกอบการ”
ปัจจุบัน ทั้งกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลัง ต้องทำงานควบคู่กัน ซึ่งตอนนี้ผู้ประกอบการรายเล็ก รายย่อย SME เผชิญปัญหาหนี้เก่า เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs)
อีกทั้ง ยังมีสินค้าค้างสต๊อกจำนวนมาก และไม่สามารถผลิตต่อได้เนื่องจากขาดเงินทุนในการซื้อส่วนประกอบหรือวัตถุดิบ เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ รัฐบาลจะหาแนวทางในการอัดฉีดเงินทุนเพื่อให้พวกเขามีกระแสเงินสด (cash flow)
อย่างไรก็ตาม การสนับสนุนนี้จะพิจารณาให้กับ “ลูกค้าชั้นดี” ที่มีความตั้งใจที่จะผลิตสินค้าจริง ไม่ใช่เพียงนำเงินไปหมุนเวียนให้ผ่านไปวันๆ เป้าหมายคือการช่วยให้ผู้ประกอบการเหล่านี้สามารถนำเงินทุนไปต่อยอดและทำการค้าต่อไปได้ในระยะยาว
อนุทิน ย้ำว่า รัฐบาลยังคงเดินหน้าวางรากฐานนโยบายระยะยาว ซึ่งเชื่อว่าเศรษฐกิจจะไม่ถอยหลัง การดำเนินการจะครอบคลุมทุกมิติ กระทรวงพาณิชย์จะทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมผลประโยชน์ทางการค้าต่างๆ ให้เกิดขึ้นกับประเทศไทยให้มากที่สุด
“ผมใจกว้าง ไม่คิดหรอกว่า นโยบายที่ผลักดัน เป็นนโยบายของใคร กลุ่มใด หรือผมไม่ได้คิดเอง แต่ผมยืนยันว่า ถ้าเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมต่อประเทศ ผมทำหมด เพราะเวลามีแค่นี้ ถ้าจะไปกลัวใครดีเด่นดัง หรือได้เครดิต ไม่ได้แล้ว
ดังนั้น ถ้าเกิดผลักดันแล้วสำเร็จ คนที่คิดโครงการนั้นก็ได้เครดิต ตัวผมผู้ผลักดันได้ ก็วิน-วิน ไม่ใช่คนหนึ่งชนะคนหนึ่งแพ้ ถ้าไม่อย่างนั้นก็นำไปสู่ความขัดแย้ง แต่ถ้าวินวินด้วยกัน ผมก็ไม่สนใจว่าโครงการริเริ่มจากใคร”
นอกจากนี้ ยังมีแผนในการลดความเดือดร้อนของผู้ประกอบการโดยรวม สำหรับนโยบายโดยรวมนั้น ร่างนโยบายได้จัดทำเกือบเสร็จสมบูรณ์แล้ว และมีการปรับแก้รายละเอียดเล็กน้อยให้สอดคล้องกับข้อหารือต่างๆ
“การทำงานเราจะมุ่งเน้นประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชนเป็นสำคัญ โดยไม่ยึดติดว่านโยบายนั้นมาจากแนวคิดของใคร หรือใครจะเป็นผู้ที่ได้รับเครดิต ทุกฝ่ายควรได้รับประโยชน์ หากนโยบายใดก่อให้เกิดประโยชน์กับส่วนรวม กับประเทศ และกับประชาชน รัฐบาลพร้อมที่จะผลักดันอย่างเต็ม” อนุทินกล่าว
สำหรับกรอบเวลา 4 เดือนในการบริหารประเทศ อนุทิน ยอมรับว่า แม้จะสั้นแต่รัฐบาลเตรียมร่างนโยบายไว้เกือบสมบูรณ์แล้ว และจะนำข้อเสนอจากหอการค้าฯไปปรับให้สอดคล้อง ก่อนแถลงต่อรัฐสภาหลังพิธีถวายสัตย์ โดยย้ำว่าไม่กังวลว่าใครจะได้เครดิต เพราะสิ่งสำคัญคือประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ หากนโยบายใดเกิดประโยชน์พร้อมเดินหน้าผลักดันทันที