หลังจากที่ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี นำ ‘ดรีมทีมเศรษฐกิจ’ ไม่ว่าจะเป็น เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, ศุภจี สุธรรมพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์, วรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง หารือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
ในวันพรุ่งนี้ 18 ก.ย. เตรียมพบหอการค้าไทย ซึ่งเอกชนต่างจับตาควิกวิน ช่วยกระตุ้นกำลังซื้อปลายปี
วันนี้ 17 ก.ย. นาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนสิงหาคม 2568 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 86.4 โดยปรับตัวลดลงจากระดับ 86.6 ในเดือนกรกฎาคม 2568 ถือเป็นดัชนีเชื่อมั่นอุตสาหกรรม ร่วงต่อเนื่อง เป็นเดือนที่ 37
ทั้งนี้ การปรับตัวลดลงดังกล่าวเป็นผลมาจากหลายปัจจัย ได้แก่ ความไม่แน่นอนทางการเมือง ภายหลังจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้สถานะนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง รวมถึงการเบิกจ่ายงบลงทุนที่ยังต่ำกว่าเป้าหมาย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ส่องดีกรี 9 กระทรวงเศรษฐกิจ รัฐบาลอนุทิน ใครเป็นใคร มีฝีมือด้านไหนบ้าง
- เปิด 5 ข้อเสนอที่ขุนคลังสหรัฐฯ เอ่ยปากชมไทย เผยเบื้องหลังกุนซือทีมไทยแลนด์ อัปเดตประเทศไหนเจรจาไปแล้วบ้าง?
- ทำไมทองคำไทยส่งออกไปกัมพูชาสูงผิดปกติในช่วง 3 ปี? เบื้องหลัง มีอะไรซ่อนอยู่
- ไทยมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร? วิกฤตขีดความสามารถในการแข่งขัน เมื่อบุญเก่าหมด คนเก่งสมองไหล การเมืองไร้เสถียรภาพ
“โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากช่วง 11 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม 2567-สิงหาคม 2568) ซึ่งมีการเบิกจ่ายล่าช้า และความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับอัตราภาษีของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ Regional Value Content (RVC) หรือสินค้าที่เปิดตลาดให้สหรัฐฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกและนำเข้า”
อีกทั้ง สถานการณ์การปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ยังคงส่งผลให้การค้าชายแดนได้รับผลกระทบ และคาดว่าจะก่อให้เกิดการสูญเสียมูลค่าทางการค้าในเดือนสิงหาคมกว่า 14,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะเดียวกัน ยังพบว่าสถานการณ์น้ำท่วมซ้ำซากจากพายุโซนร้อน ‘คาจิกิ’ ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการค้าและการเกษตรในพื้นที่ภาคเหนือ รวมถึงการที่แรงงานกัมพูชาทยอยเดินทางกลับประเทศ ซึ่งนำไปสู่ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในระยะสั้นในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น
อย่างไรก็ตาม ในเดือนสิงหาคม ยังมีปัจจัยบวกหลายประการ ได้แก่ การที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ต่อปี จาก 1.75% เหลือ 1.50% ต่อปี ซึ่งช่วยบรรเทาภาระทางการเงินแก่ผู้ประกอบการ
นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้อนุมัติงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ วงเงิน 1.85 หมื่นล้านบาท โดยจัดสรร 1 หมื่นล้านบาทเข้าสู่กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ขณะเดียวกัน ยอดขายรถยนต์ในประเทศมีแนวโน้มขยายตัว โดยได้รับแรงหนุนจากการจัดงาน BIG Motor Sale 2025 โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า (EV)
จากการสำรวจผู้ประกอบการ 1,350 ราย ครอบคลุม 47 กลุ่มอุตสาหกรรมของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในเดือนสิงหาคม 2568 พบว่าปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ เศรษฐกิจภายในประเทศ 72.6% นโยบายภาครัฐ 60.4% อัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก) 45.7% ส่วนปัจจัยที่มีความกังวลลดลง ได้แก่ เศรษฐกิจโลก 61.0% การเข้าถึงสินเชื่อ 35.1% ราคาพลังงาน 32.4% และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 26.1%
ขณะที่ดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวลดลงเช่นกัน อยู่ที่ระดับ 88.9 ลดลงจาก 89.2 ในเดือนกรกฎาคม 2568 เนื่องจากความกังวลต่อความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ อาจกระทบต่อการดำเนินนโยบายสำคัญ อาทิ
การเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ การแก้ปัญหาชายแดน และการฟื้นฟูเศรษฐกิจ และอุปสงค์จากประเทศคู่ค้ามีแนวโน้มลดลง หลังการบังคับใช้มาตรการ Reciprocal Tariff ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตและส่งออกของไทย ประกอบกับความเสี่ยงการถูกเก็บภาษี 40% จากความไม่ชัดเจนของเงื่อนไขสินค้าสวมสิทธิ์ (Transshipment) โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยสนับสนุนที่คาดว่าจะช่วยประคับประคองสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ได้แก่ โครงการคนละครึ่ง คาดว่าจะช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพ กระตุ้นกำลังซื้อของประชาชน และเพิ่มการหมุนเวียนของเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวในช่วง High season (ช่วงพฤศจิกายน- ธันวาคม 2568) คาดว่าจะส่งผลดีต่อการใช้จ่าย และการบริโภคสินค้า
แนะ 4 ข้อเสนอถึงรัฐบาลใหม่
- เสนอให้ภาครัฐเร่งติดตามข้อสรุปเกี่ยวกับเงื่อนไขภาษี Reciprocal Tariff โดยเฉพาะประเด็น Regional Value Content (RVC) รวมถึงรายการสินค้าที่ไทยจะเปิดตลาดให้สหรัฐฯ เพื่อให้ผู้ประกอบการเตรียมความพร้อมในการรับมือผลกระทบ
- ขอให้เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณด้านรายจ่ายลงทุนในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เพื่อให้เม็ดเงินลงทุนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งการเตรียมความพร้อมดำเนินโครงการภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2569
- เสนอให้ภาครัฐเร่งรัดการออกมาตรการช่วยเหลือให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา อย่างเป็นรูปธรรม เช่น สามารถนำรายจ่ายค่าขนส่งและโลจิสติกส์ส่วนเพิ่มมาหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ 2 เท่า
- ขอให้ภาครัฐปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบ เพื่อสนับสนุนการนำวัสดุที่เหลือใช้และผลิตภัณฑ์พลอยได้ ไปใช้ประโยชน์ในการทำผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่มตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)
‘อนุทิน’ ถกหอการค้าไทย ลุ้นควิกวินเศรษฐกิจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 18 กันยายน อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ จะไปประชุมหารือเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ กับคณะกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย โดยพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เตรียมหยิบยกประเด็นสถานการณ์และข้อเสนอแนะที่ได้รวบรวมจากหอการค้าต่างประเทศในประเทศไทย หอการค้าไทยทั่วประเทศ สมาคมการค้า และธุรกิจต่างๆ
เบื้องต้น นโยบายระยะสั้น (ควิกวิน) ระยะเวลา 4 เดือนแรกที่รัฐบาลเข้าบริหารประเทศ และนโยบายระยะกลางที่ผ่านการอนุมัติเห็นชอบ เพื่อให้เกิดรอยต่อทางปฏิบัติและเศรษฐกิจไม่สะดุด อาทิ การลงทุนโครงการพื้นฐาน การออกมาตรการการเงินการคลังระยะยาว 6-8 เดือน ปัญหาขาดแคลนแรงงาน แนวคิดปรับค่าจ้างแรงงาน ตลอดจนมาตรการส่งออกทองคำเพื่อแก้ปัญหาเงินบาทแข็ง
แหล่งข่าว ภาคเอกชน โดยหอการค้าไทย ระบุว่า เบื้องต้น ข้อเสนอเร่งด่วนคือประเด็นกระตุ้นกําลังเข้าไฮซีซั่นปลายปี จึงอยากทราบทิศทางรัฐบาลจะออกมาตรการอะไรก่อนเข้าสู่ปีใหม่ เพื่อให้ภาคธุรกิจรับรู้ วางแผนทางที่ชัดเจน
“หอการค้าภูมิภาคส่วนใหญ่ สะท้อนปัญหาปากท้อง กําลังซื้อที่ไม่ดีนัก ดังนั้น ช่วง 4 เดือน จึงอยากฟังแนวคิดและนโยบายควิกวินของรัฐบาล เพื่อไม่ให้เกิดความลังเลการใช้จ่าย ลงทุน ส่งออก และรับทราบแผนกระตุ้นท่องเที่ยว”
สำหรับ รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของ อนุทิน ชาญวีรกูล เดินหน้าสู่กระบวนการเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ โดยหลังจากนายกรัฐมนตรี ได้จัดทำรายชื่อคณะรัฐมนตรีเสร็จสิ้น ได้ทูลเกล้าฯ เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
หลังจากนั้น คณะรัฐมนตรีชุดใหม่จะต้องเข้าพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนต่อพระมหากษัตริย์ ก่อนจะประชุม ครม.นัดพิเศษ และแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามลำดับ ก่อนลงมือปฏิบัติงาน และเริ่มนับวันที่ 1 ตามสัญญากับพรรคประชาชน ซึ่งคาดว่าจะครบกำหนดในปลายเดือน มกราคม 2569