วันนี้ (8 มิถุนายน) อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นประธานเปิดกิจกรรม Meet the Press ‘การเตรียมความพร้อมโรคโควิด สู่โรคประจำถิ่น’ ช่วงหนึ่งอนุทินได้ตอบคำถาม กรณีคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และสื่อมวลชน เตรียมนำร่องให้ผู้ประกาศในสตูดิโอถอดหน้ากากอนามัยขณะอ่านข่าวนั้นว่า สามารถทำได้เพราะ สธ. ไม่เคยมีคำสั่งห้าม แต่ที่ผ่านมาคาดว่าผู้ประกอบการสื่อคงเข้มมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด อีกทั้งเกรงจะเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์และเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับสังคม แต่หลังจากนี้ หากแต่ละรายการพิจารณาความเสี่ยงแล้วก็สามารถถอดหน้ากากอนามัยได้ ไม่มีบทลงโทษ แต่แนะนำให้ตรวจ ATK ทุกวัน และบุคลากรในสตูดิโอต้องรับวัคซีนครบแล้ว 3 เข็ม รวมถึงต้องเข้มมาตรการป้องกันโรคด้วย แต่หากในสตูดิโอมีคนมารวมกันจำนวนมากก็แนะนำให้ใส่หน้ากากอนามัย
อนุทินยังกล่าวอีกว่า แม้สถานการณ์ปัจจุบันจะมีการประกาศให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่น แต่ประชาชนยังมีความจำเป็นต้องใส่หน้ากากหากอยู่ใกล้ชิดกับกลุ่มเสี่ยง หรือไม่สบาย เป็นหวัด หรือเป็นกลุ่มต้องเฝ้าระวังการแพร่เชื้อ เพราะการใส่หน้ากากอนามัยป้องกันได้หลายโรค รวมถึงป้องกันฝุ่นด้วย อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นแนวทางของกระทรวงสาธารณสุข แต่มาตรการถอดหน้ากากยังต้องเสนอให้ที่ประชุมใหญ่ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) พิจารณาอีกครั้ง
อนุทินยังย้ำว่า การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นมีความสำคัญ ซึ่งวันนี้มีวัคซีนเพียงพอที่จะฉีดกระตุ้นให้คนไทยสร้างภูมิ
ส่วนที่มีบุคลากรทางการแพทย์ออกมาแสดงความเห็นเชิงลบกับ สธ. นั้น อนุทินยืนยันว่าทุกการแสดงความคิดเห็นและเสียงวิจารณ์ สธ. น้อมยอมรับ แต่หากเป็นบุคลากรในกระทรวงและใช้เวลาราชการติติง ไม่สามารถทำได้ ซึ่งกรณีของประธานชมรมแพทย์ชนบทโพสต์ตำหนิ ก็ได้ให้อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยฯ ไปทำความเข้าใจจนลบโพสต์ดังกล่าวไปแล้ว พร้อมย้ำว่าวัคซีนโควิดไม่ใช่วัคซีนขยะ
ส่วนกรณีประชาชนจะไปกระตุ้นวัคซีนเข็ม 5 นั้น อนุทินกล่าวว่ายังไม่สามารถออกเป็นประกาศบังคับได้ แต่หากประชาชนมีเหตุผลจำเป็น เช่น ต้องไปต่างประเทศ ก็สามารถขอฉีดได้ รวมถึงให้เป็นไปตามดุลยพินิจของแพทย์
อนุทินยังกล่าวอีกว่า สธ. ไม่มีอำนาจยกเลิกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ฉุกเฉิน เพราะเป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่จะต้องพิจารณา หากยังเห็นว่าบางพื้นที่ยังมีความเสี่ยงแพร่ระบาด ก็ต้องจัดกลุ่มจังหวัดตามสีของความเสี่ยง และยังไม่สามารถตอบได้ว่าผู้ป่วยโควิดคนสุดท้ายของประเทศไทยจะออกจากโรงพยาบาลได้วันไหน ปีไหน เพราะต้องรอให้ฉีดวัคซีนครบตามเป้าก่อน จึงจะประเมินสถานการณ์และนำไปสู่การประกาศได้
