วันนี้ (9 มกราคม) ภาพรวมของการอภิปรายงบประมาณปี 2563 ในวาระที่ 2 เมื่อวันที่ 8 มกราคม ซึ่งเป็นวันแรกได้ยุติลงในเวลาประมาณ 00.05 น. ของวันที่ 9 มกราคม โดยเป็นการอภิปรายต่อเนื่องทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลรวมกว่า 15 ชั่วโมง และสามารถอภิปรายได้รวม 9 มาตรา จากจำนวน 55 มาตราของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้
สำหรับวันนี้มีการเริ่มประชุมต่อเนื่องมาตั้งแต่เวลา 09.30 น. ในมาตรา 10 เกี่ยวกับงบประมาณของกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งยังเหลืออีก 46 มาตราในการพิจารณากรอบวงเงิน 3.2 ล้านล้านบาท ตามที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ที่มี อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานได้พิจารณาเสร็จแล้ว
ไฮไลต์สำคัญของภาพรวมในวันแรกคือการอภิปรายงบกลางและงบประมาณของกระทรวงกลาโหมที่มีการของบประมาณสูงถึง 1.2 แสนล้านบาท โดยมีกรรมาธิการเสียงข้างน้อยที่มาจากฝ่ายค้านได้สงวนความเห็นไว้ อีกทั้งยังมี ส.ส. จองกฐินแปรญัตติเพื่ออภิปรายอีกจำนวนหลายร้อยคน
โดยเฉพาะ เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ กรรมาธิการเสียงข้างน้อยจากพรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายเสนอปรับลดงบประมาณของกระทรวงกลาโหมออกไปทั้งหมดแบบ 100% โดยให้เหตุผลว่าที่มาของพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่อว่าจะขัดรัฐธรรมนูญ เพราะพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวออกโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่ขณะนั้นมีเสียงโหวตผ่านพระราชบัญญัติดังกล่าว 85 เสียง เท่ากับเป็นเสียงแค่ 1 ใน 3 ของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติไม่ถึงครึ่งหนึ่งของเสียงทั้งหมด ดังนั้นจึงจำเป็นต้องตัดทั้งหมด จะปล่อยให้หน่วยงานที่มีที่มาไม่ถูกต้องตามกฎหมายไม่ได้ พร้อมเสนอให้ออกพระราชกำหนดในการกลับไปใช้กฎหมายฉบับเดิมให้ถูกต้อง
ขณะที่ อัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส. ราชบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายเสนอให้ตัดลดงบประมาณในส่วนของกระทรวงกลาโหมลง 20% เพื่อนำไปเพิ่มให้กระทรวงศึกษาธิการ เนื่องจากต้องการให้กรรมาธิการงบประมาณได้ตระหนักถึงวิกฤตด้านการศึกษา
ส่วน วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างน้อย อภิปรายเสนอปรับลดลงจำนวน 3,122 ล้านบาท หรือกว่า 20.83% เนื่องจากปัจจุบันกองทัพมีทหารเกณฑ์ประจำการประมาณ 1.2 แสนนาย โดยตั้งคำถามว่าเหตุใดประเทศต้องมีทหารเกณฑ์ปีเดียวจำนวนมากขนาดนี้ ภาพที่ประชาชนคิดคือการปฏิบัติภารกิจเกี่ยวกับการป้องกันประเทศ แต่ความเป็นจริงไม่ใช่แบบนั้น เพราะมีการนำทหารเกณฑ์ไปใช้เป็นพลทหารบริการหรือพลทหารรับใช้ ซึ่งปัจจุบันพบว่ามีทหารบริการทั้งสิ้น 24,956 นาย จากจำนวนทหารเกณฑ์ 1.2 แสนนาย คิดเป็น 20.83% ที่ต้องไปทำหน้าที่บริการแทนที่จะไปถือปืน
อย่างไรก็ตาม หลังการอภิปรายเฉพาะมาตรา 8 ของกระทรวงกลาโหมเป็นเวลายาวนานกว่า 3 ชั่วโมง ที่ประชุมเสียงข้างมากมีมติ 247 ต่อ 195 งดออกเสียง 11 เสียง เห็นชอบมาตรา 8 ที่กรรมาธิการเสียงข้างมากได้มีการแก้ไขจากร่างเดิม ทำให้งบประมาณของกระทรวงกลาโหมได้รับอนุมัติจากสภาไปตามกรอบวงเงิน 1.2 แสนล้านบาท
การอภิปรายในวันนี้ยังมีงบประมาณอีกหลายกระทรวงที่ประชาชนต้องร่วมกันจับตา เพราะทั้งหมดนี้คืองบประมาณแผ่นดินที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในการดำเนินนโยบายของรัฐบาล
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
