×

คาร์โล อันเชล็อตติ (ว่าที่) โค้ชต่างชาติคนแรกในประวัติศาสตร์ทีมชาติบราซิล

05.07.2023
  • LOADING...
Carlo Ancelotti

สำหรับชาวบราซิลแล้ว นี่เป็นช่วงเวลาที่ทำใจลำบากมากที่สุด เพราะไม่เพียงแต่คู่ปรับตลอดกาลอย่างอาร์เจนตินาจะคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกมาครองได้ ทีมฟุตบอลที่เป็นความหวังของพวกเขาอย่าง ‘ลา เซเลเซา’ ก็อยู่ในยุคที่ตกต่ำดำดิ่งที่สุดในรอบ 2 ทศวรรษ

           

หลังการกระเด็นตกรอบฟุตบอลโลก 2023 สถานการณ์ของทีมชาติบราซิลยิ่งเลวร้ายลงไปอีก พวกเขาพ่ายต่อโมร็อกโกไม่พอ ยังถูกเซเนกัลเอาชนะได้อย่างเด็ดขาดถึง 4-2 และนั่นทำให้เกิดกระแสกดดันต่อสหพันธ์ฟุตบอลบราซิล (CBF) ที่ล้มเหลวในการหาโค้ชทีมชาติคนใหม่ หลัง ติเต นายใหญ่คนเก่า อำลาหลังจบฟุตบอลโลกที่กาตาร์

           

เรื่องนี้นำไปสู่การตัดสินใจที่เหลือเชื่อที่สุดในประวัติศาสตร์วงการฟุตบอลบราซิล ชนชาติที่เคยได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งไม่มีสองในโลกของฟุตบอล เป็นชนชาติที่ได้รับพรสวรรค์จากฟ้าประทานให้เกิดมาเล่นฟุตบอลเป็นทุกคน ด้วยท่วงท่าลีลาที่สวยงาม พลิ้วไหว ไม่ว่าจะผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก คนหนุ่มสาว หรือแม้แต่คนสูงวัย

           

CBF เพิ่งจะประกาศแต่งตั้งโค้ชทีมชาติคนใหม่ แต่ไม่ใช่โค้ชชาวบราซิลอีกต่อไป

 

โค้ชคนใหม่ของพวกเขาคือ คาร์โล อันเชล็อตติ ซึ่งจะกลายเป็นโค้ชชาวต่างชาติคนแรกในประวัติศาสตร์ไม่พอ แต่พวกเขายังต้องรอคอยการมาถึงโค้ชคนนี้อีกนานถึงเกือบ 1 ปีเต็ม

           

เกิดอะไรขึ้นกับวงการฟุตบอลบราซิล? แล้วทำไมต้องเป็นอันเชล็อตติด้วย?

 

กล่าวกันว่า เวลาจะคุยกับคนบราซิลนั้น หากเลี่ยงได้ก็ขอให้เลี่ยงใน 3 เรื่องด้วยกัน

 

หนึ่งคือเรื่องศาสนา สองคือเรื่องการเมือง และสามคือเรื่องฟุตบอล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ ลา เซเลเซา ซึ่งเป็นทีมที่ถูกคาดหมายว่าจะเป็นผู้ชนะในทุกนัดที่ลงแข่งขัน จะต้องตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤตถึงเพียงนี้?

 

 

อย่างที่บอกไปข้างต้นว่าบราซิลเพิ่งจะพ่ายแพ้ต่อโมร็อกโกและเซเนกัล สองชาติจากแอฟริกา ซึ่งแม้ว่าสถานภาพของทั้งสองทีมจะไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร เพราะโมร็อกโกเป็นทีมที่สร้างปรากฏการณ์ได้ผ่านถึงรอบรองชนะเลิศฟุตบอลโลกครั้งที่ผ่านมาด้วยการเอาชนะสเปนและโปรตุเกสได้อย่างน่าประทับใจ ขณะที่เซเนกัลเองก็มีศักดิ์เป็นถึงแชมป์กาฬทวีป

           

แต่ขึ้นชื่อว่าบราซิล พวกเขาไม่เคยถูกมองว่าเป็นรองใคร

           

ปัญหาคือในเวลานี้คือ บราซิลเป็นทีมที่เต็มไปด้วยปัญหามากมาย โดยเฉพาะเรื่องใหญ่ที่สุดคือ การที่พวกเขาไม่มีผู้นำทีมนอกสนามตัวจริงหลังติเตออกจากตำแหน่งไป โดยเวลานี้คนที่รับงานเป็นการชั่วคราวคือ รามอน เมเนเซส โค้ชทีมชาติในรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี

           

กับทีมชุดเล็ก เมเนเซสอาจจะทำผลงานได้ดี พาทีมคว้าแชมป์ทวีปอเมริกาใต้มาครองได้สดๆ ร้อนๆ แต่การคุมทีมชาติชุดใหญ่เป็นงานในสเกลที่แตกต่างกันมาก และมันสะท้อนผ่านผลงานของทีมในสนามได้อย่างเห็นได้ชัด

           

ติเตคุมทีม 81 นัด แพ้แค่ 6 นัด ขณะที่เมเนเซสคุม 3 นัด แพ้ไปถึง 2

           

แม้จะอยากให้ความเป็นธรรมกับเมเนเซส เพราะรับเผือกที่ร้อนจัดจนแทบถือไม่ไหว (และดูเหมือนจะไม่มีใครในวงการบราซิลที่อยากถือ) แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในสนามก็เป็นเรื่องที่ยากจะยอมรับได้ไหว บราซิลเล่นกันแบบไม่เอาไหนจริงๆ ในช่วง 3 นัดที่ผ่านมา

           

ทั้งๆ ที่ตัวผู้เล่นก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไรเลย

           

เอแดร์สัน มือหนึ่ง ‘เทรเบิลแชมป์’ ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ กลายเป็นผู้รักษาประตูบราซิลคนแรกในรอบเกือบ 10 ปีที่โดนยิง 4 ประตูในนัดเดียว (ครั้งสุดท้ายที่บราซิลโดนยิงเยอะขนาดนี้คือเกมโศกนาฏกรรมพ่ายเยอรมนี 7-1)

           

แต่โทษประตูคนเดียวก็ไม่ได้ เพราะกองหลังอย่าง มาร์ควินญอส และ เอแดร์ มิลิเตา ซึ่งปกติยามเล่นให้สโมสรแข็งแกร่งดุจหินผา ก็เลอะเทอะอย่างมาก ในขณะที่แดนกลาง 4 สตาร์ในพรีเมียร์ลีก คาเซมิโร, ลูคัส ปาเกวตา, บรูโน กิมาไรช์ และ โชลินตัน เป็นส่วนผสมที่ไม่ลงตัวเลย

 

เกมรุกล่ะ? บราซิลเคยเป็นทีมที่อุดมไปด้วยตัวรุกที่ยอดเยี่ยมและมหัศจรรย์ที่สุด จำยุค ‘RRR’ กันได้ใช่ไหม ริวัลโด-โรนัลโด-โรนัลดินโญ

 

ตอนนี้เกมรุกของพวกเขาคือ วินิซิอุส จูเนียร์ และ โรดริโก สองซูเปอร์สตาร์จากเรอัล มาดริด ที่ทำอะไรไม่ถูกเมื่อไม่มี คาริม เบนเซมา ประคับประคอง

           

ส่วนศูนย์หน้า ‘R9’ ยุคนี้อย่าง ริชาร์ลิสัน เหมือนจะเก่งด้านการพูดมากกว่า และกลายเป็นโดนถล่มเพราะการออกมาบอกว่า เขาคู่ควรกับเสื้อหมายเลข 9 ของทีมในเวลานี้ ตรงข้ามกับฟอร์มการเล่นในสนาม ที่ทำให้คิดว่าฟอร์มที่ดีในฟุตบอลโลก 2022 อาจเป็นแค่เรื่องชั่วคราว

 

 

จริงอยู่ที่สตาร์ของบราซิลยุคนี้ต่อให้นับรวม เนย์มาร์ ที่ยังมีปัญหาอาการบาดเจ็บ ก็ไม่อาจเทียบได้กับชุดแชมป์ฟุตบอลโลก 2002 ซึ่งเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยที่ 5 และเป็นสมัยล่าสุดที่พวกเขาคว้ามาครองได้ แต่ตัวผู้เล่นเหล่านี้ก็ควรจะทำได้ดีกว่านี้

           

การที่สหพันธ์ฟุตบอลบราซิลปล่อยให้ทีมเคว้งคว้าง ไม่มีแนวทางที่ชัดเจน ไม่มีการเลือกโค้ชคนใหม่ ส่งผลต่อเรื่องฟอร์มการเล่นและสภาพจิตใจของนักฟุตบอลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

           

และในบราซิลเองก็มีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้อย่างหนักหน่วง

           

โจทย์ใหญ่ที่สุดในช่วงที่ผ่านมาคือ ใครควรจะได้เป็นโค้ชทีมชาติคนใหม่?

           

เรื่องที่น่าเหลือเชื่อคือ ในการสำรวจของ Globo สถานีโทรทัศน์ในบราซิล ปรากฏว่าผู้ที่ได้รับการโหวตเลือกมากที่สุดคือ คาร์โล อันเชล็อตติ โค้ชชาวอิตาลี ซึ่งปัจจุบันยังคุมทีมเรอัล มาดริด อยู่

           

คาร์เล็ตโตเฉือนเอาชนะ อาเบล แฟร์ไรรา โค้ชชาวโปรตุเกสซึ่งคุมทีมพัลไมรัส ไปอย่างหวุดหวิด 36 ต่อ 35 เปอร์เซ็นต์

           

ผลการสำรวจดังกล่าวนำมาซึ่งการวิพากษ์ต่อเนื่องอย่างกว้างขวาง เพราะที่ผ่านมาบราซิลไม่เคยใช้โค้ชชาวต่างชาติคุมทีมชาติมาก่อน ไม่เพียงแต่แฟนบอลเท่านั้นที่ถกเถียงกัน แม้แต่อดีตสตาร์ทีมชาติยุคก่อน ซึ่งรวมถึงชุดแชมป์โลก 2002 เองก็ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้

           

อันเชล็อตติเป็นยอดโค้ชของโลก เรื่องนี้ไม่มีใครแย้ง ฝีมือในการ ‘ผสมผสาน’ นักเตะในทีมและรีดศักยภาพผู้เล่นออกมาได้อย่างกลมกล่อมก็พิสูจน์มาแล้วกับทุกทีมที่ผ่านมือ 

 

เพียงแต่เขาไม่ได้มีรากอะไรให้เชื่อมโยงกับบราซิลเลยแม้แต่น้อยนิด

           

หากจะมีโค้ชเป็นชาวต่างชาติคนแรกจริงๆ แฟร์ไรราซึ่งเป็นชาวโปรตุเกส และเห็นหน้าค่าตากันมาบ้างในลีกฟุตบอลบราซิล ก็อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า ทำใจยอมรับได้ง่ายกว่า

           

แต่ดูเหมือนสหพันธ์ฟุตบอลบราซิลจะไม่ได้คิดแบบนั้น เพราะหลังจากที่ปล่อยข่าวออกมาให้เป็นกระแสสักพักใหญ่ เพื่อดูทิศทางลมซึ่งพบว่า เสียงของแฟนบอลจำนวนหนึ่งไม่ได้ต่อต้านการมาของอันเชล็อตติขนาดนั้น

           

ที่สุดแล้วก็มีการยืนยันว่า กุนซือชาวอิตาลีจะเข้ามาเป็นโค้ชชาวต่างชาติคนแรกของทีมเซเลเซา

           

เพียงแต่อันเชล็อตติติดสัญญากับเรอัล มาดริด ที่มีจนถึงปี 2024 ดังนั้นทีมชาติเจ้าของแชมป์โลก 5 สมัยจะต้องอดทนรอคอยกุนซือคนใหม่เป็นเวลาอีกเกือบ 1 ปีด้วยกัน

           

โดยระหว่างนี้จะเป็นหน้าที่ของ เฟร์นานโด ดินิซ โค้ชของทีมฟลูมิเนนเซ คอยมาคุมทีมให้เป็นการชั่วคราวในระยะเวลา 1 ปี

           

ในช่วงเวลา 1 ปีนี้ ดินิซซึ่งยืนยันว่า “เต็มใจและภูมิใจอย่างยิ่ง เพราะการคุมทีมชาติบราซิลคืองานในฝันของทุกคน” จะต้องประคองลาเซเลเซาให้เอาตัวรอดได้อย่างสวยงามในเกมฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก โซนอเมริกาใต้ อีกถึง 5 นัดด้วยกัน ซึ่งจะเกิดขึ้นในระหว่างเดือนกันยายน-พฤศจิกายนนี้

           

หนึ่งในเกมสำคัญคือ การพบกับอาร์เจนตินา คู่ปรับตลอดกาล เจ้าของตำแหน่งแชมป์โลกทีมปัจจุบันด้วย

 

 

ก่อนที่อันเชล็อตติจะเข้ามารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ เพื่อทำทีมสู้ศึกโกปา อเมริกา 2024 ซึ่งครั้งนี้จะจัดขึ้นที่สหรัฐอเมริกา (ซึ่งอาร์เจนตินาก็เป็นแชมป์เก่าอีก)

           

ฟังดูแล้วแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินว่า CBF จะเลือกแนวทางนี้ เพราะมันดูเป็นทางเลือกที่ไม่น่าเชื่อ และสะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแอของสหพันธ์ฟุตบอลบราซิลที่ตกต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญ

           

ฟุตบอลบราซิลคือเบอร์หนึ่ง พวกเขามีนักฟุตบอลที่เก่งที่สุด พวกเขามียอดโค้ชผู้ปราดเปรื่องมากมาย คือภาพมายาคติที่ไม่เพียงแค่คนบราซิลที่มองเห็น แต่คนทั่วโลกก็เชื่อแบบนั้นเหมือนกัน เพียงแต่เวลานี้ดูเหมือนทุกอย่างจะไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้ว

           

บราซิลแม้จะไม่ถึงกับขาดแคลนนักฟุตบอลที่น่าตื่นเต้น แต่เราก็แทบไม่เจอนักเตะที่เป็นปรากฏการณ์ในแบบเดียวกับโรนัลโดหรือโรนัลดินโญมานานแล้ว และฟุตบอลในสไตล์บราซิลที่สวยงามใต้คำว่า ‘Ginga’ และ ‘Joga Bonito’ ก็เหมือนจะเป็นเรื่องเล่าในวันวาน

           

โค้ชบราซิลก็ไม่ได้ปราดเปรื่องเฟื่องฟูเหมือนเก่า ในยุคสมัยที่เกมฟุตบอลมีการเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตมากมาย ยุคสมัยที่โค้ชมีการใช้ ‘ศาสตร์’ มากกว่า ‘ศิลป์’ ดูเหมือนพวกเขากำลังจะตกขบวน

           

สหพันธ์ฟุตบอลบราซิลที่ลอยชายมาเป็นเวลานาน ขาดแผนการทำงานที่ชัดเจน แม้กระทั่งเรื่องของการจัดหาทีมมาอุ่นเครื่องด้วย ซึ่งมีการมองว่า การที่บราซิลยุคติเตได้โอกาสเจอกับทีมชั้นนำของยุโรปแค่ 12 นัด มีส่วนไม่น้อยที่ทำให้ทีมขาดประสบการณ์ จนถึงการที่ไม่สามารถหาโค้ชคนใหม่มาแทนที่ได้อย่างทันท่วงที จึงตกอยู่ในสภาวะกดดันสูง

           

และพวกเขาเลือกที่จะเดิมพันกับไพ่ที่เสี่ยงอย่างมาก

           

ระหว่างนี้ไปจนถึงปีหน้าที่อันเชล็อตติจะเข้ามารับตำแหน่ง บราซิลจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นหรือไม่…ไม่มีใครรู้

           

ความชัดเจนอาจช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น

           

หรือความชัดเจนที่ไม่ชัดเจนอาจทำให้ทุกอย่างแย่ลง ล้วนเป็นไปได้ทั้งนั้น

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X