‘งบประมาณรายจ่าย’ ถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นและประคับประคองเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม จากการวิเคราะห์ของสำนักงบประมาณของรัฐสภา (PBO) พบว่า รัฐบาลตั้ง ‘งบลงทุน’ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อน GDP ลดลงจากปีก่อนหน้า 7.3%
นอกจากนี้ ไทยยังกำลังเผชิญกับ ‘กับดักเพดานการคลัง’ สะท้อนให้เห็นว่า ใน ‘งบประมาณรายจ่ายปี 2569’ นี้แม้รัฐบาลจะกู้จนเกือบเต็มเพดานแล้ว แต่วงเงินงบประมาณปี 2569 นี้ กลับเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเพียง 27,900 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.7% เท่านั้น
จุดนี้ยิ่งทำให้หลายฝ่ายกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจาก เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับความเสี่ยงมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากสหรัฐฯ เตรียมขึ้นภาษีศุลกากร แต่กระสุนทางการคลังของไทยกลับมี ‘จำกัด’
คำถามที่สำคัญต่อมาคือ รัฐบาลควรทำอย่างไร เพื่อทำให้ ‘งบประมาณ’ ที่อยู่ในมือ (ซึ่งก็ไม่ได้น้อยเลย) กระตุ้นและประคับประคองเศรษฐกิจไทยได้ดีที่สุด และช่วยคนไทยให้ฝ่า ‘พายุ’ ที่กำลังจะพัดเข้ามาได้มากที่สุด
งบประมาณปี 2569 เพิ่มจากปีก่อน 27,900 ล้านบาทเท่านั้น
ฐากูร จุลินทร ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณของรัฐสภา (PBO) กล่าวในงานสัมมนาวิชาการ ‘วิเคราะห์ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569’ โดยตั้งข้อสังเกตว่า งบปี 69 วงเงิน 3,780,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 27,900 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.7% เท่านั้น ต่างจาก พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2567 และ 2558 ที่มีการปรับเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
โดยพ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2567 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า ถึง 4 แสนล้านบาท (เพิ่มขึ้น 9.2%) และ พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2568 ก็เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 1.5 แสนล้านบาท (เพิ่มขึ้น 7.8%)
โดยฐากูรมองว่า เหตุผลเบื้องหลังการเพิ่มขึ้นของงบประมาณใน 2 ปีที่ผ่านมา (ปี 2567 และ 2568) ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจาก ‘โครงการแจกเงิน 10,000 บาท’
“สถานการณ์งบประมาณตอนนี้ เหมือนกับนักมวยที่ออกอาวุธมากไปแล้วในยกที่ 1 และยกที่ 2 แต่ตอนนี้ ในยกที่ 3 เหมือนว่าจะอ่อนแรงนิดหนึ่ง งบประมาณในปีนี้จึงเพิ่มขึ้นเพียง 0.7% เท่านั้น” ฐากูรกล่าว
งบ 69 เพิ่มเพียง 2.7 หมื่นล้านบาท เหตุรัฐบาลกู้แทบเต็มเพดานหมดแล้ว
ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch) มองว่า ภาพรวมงบประมาณปี 2569 ที่โตไม่เยอะ เนื่องจากไทยกำลังเจอโจทย์กับดักพื้นที่ทางการคลัง (Fiscal Space) ท่ามกลางความสามารถในการหารายได้ที่มีความท้าทายสูง เหตุเศรษฐกิจโตต่ำ ทำให้การหารายได้ของรัฐบาลเสี่ยงโตต่ำตาม
“ถ้ารัฐบาลจะขยาย (วงเงินงบประมาณ) หลัก 10% ก็ทำไม่ได้ เนื่องจากถูกกรอบวินัยการเงินจำกัดไว้ นอกจากนี้ความสามารถในการหารายได้เราก็มีความท้าทาย ท่ามกลางเศรษฐกิจที่โตต่ำ ทำให้ความสามารถในการหารายได้โตต่ำตาม ดังนั้น ถ้ารัฐบาลจะใช้จ่ายมากขึ้นก็ไม่ค่อยสมเหตุสมผล” ณัฐพรกล่าว
สำนักงบประมาณของรัฐสภา (PBO) ยังอธิบายอีกว่า เพื่อทำความเข้าใจว่า ทำไมรัฐบาลจัดทำวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 เพิ่มขึ้นน้อย เพียง 27,900 ล้านบาทเท่านั้น ก็ต้องย้อนไปดูเพื่อทำความเข้าใจถึง แหล่งที่มาของวงเงิน 3.78 ล้านล้านบาทนี้ ซึ่งมาจาก 2 ส่วนหลัก ได้แก่
- รายได้ของรัฐบาลไทยในปี 2569 ซึ่งคาดว่า จะอยู่ที่ 2,920,600 ล้านบาท (ราว 77.25% ของวงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท) โดยรายได้ส่วนนี้มาทั้งจากภาษีและรายได้อื่นๆ
- กู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จำนวน 860,000 ล้านบาท (ราว 22.7% ของวงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท)
โดยในประมาณการรายได้สุทธิในปี 2569 รัฐบาลคาดว่าจะจัดเก็บรายได้อยู่ที่ 2.92 ล้านล้านบาท โดยจำนวนนี้คิดเป็น 14.5% ของ GDP เท่านั้น นับว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ OECD ซึ่งไทยเตรียมเข้าเป็นประเทศสมาชิก ซึ่งอยู่ที่ 40% ต่อ GDP
ทั้งนี้ ตามการรวบรวมข้อมูลของ รศ. ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแสดงให้เห็นว่า ความสามารถในการจัดเก็บรายได้ของไทยยังอยู่ในขาลงต่อเนื่อง เนื่องจากรายได้นำส่งคลังของไทยก่อนหน้านี้ (เฉลี่ยระหว่างปี 2547-2556) เคยอยู่ที่ราว 17.5%

Screenshot
รัฐบาลกู้ชดเชยขาดดุล ‘เกือบชนเพดาน’
โดยในงบปี 69 นี้รัฐบาลยังตั้งวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณที่ 860,000 ล้านบาทนับเป็นการกู้ชดเชยการขาดดุลหนักขึ้นเรื่อยๆ และเป็นการกู้ชดเชยการขาดดุลที่ ‘ใกล้เต็มเพดาน’ ที่กฎหมายกำหนดแล้ว
โดยตาม พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลัง กำหนดเงื่อนไขการกำหนดกรอบวงเงินกู้สูงสุด ได้แก่ 80% ของรายจ่ายชำระคืนต้น รวมกับ 20% ของกรอบวงเงินงบประมาณ หมายความว่า ในปีงบประมาณนี้ กรอบวงเงินกู้สูงสุดของรัฐบาลจะอยู่ที่ 877,080 ล้านบาท สะท้อนว่า รัฐบาลเหลือพื้นที่เหลือเพียง 1.7 หมื่นล้านบาทเท่านั้นโดยประมาณ
ตามการรวบรวมข้อมูลของสำนักงบประมาณของรัฐสภา (PBO) แสดงให้เห็นว่า การชดเชยขาดดุลของรัฐบาลไทยเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า จากปี 2557-2568 ที่รัฐบาลกู้ชดเชยการขาดดุลที่ 250,000 ล้านบาทเท่านั้น
นอกจากนี้ สัดส่วนการขาดดุลต่อ GDP ในงบปี 2569 นี้ยังอยู่ที่ระดับสูงกว่า 4% ต่อ GDP เป็นปีที่ 3 แล้ว สะท้อนถึงความไม่ยั่งยืนทางการคลัง
ทั้งนี้ องค์กรระหว่างประเทศต่างๆ รวมถึงข้อตกลงเสถียรภาพและการขยายตัว (Stability and Growth Pact) ของสหภาพยุโรป ซึ่งมีสาระสำคัญคือการรักษาวินัยการคลัง เนื่องจากมองว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อการมีเสถียรภาพของการเติบโตทางเศรษฐกิจ แนะนำว่า การกู้ชดเชยการขาดดุลงบประมาณต่อ GDP ไม่ควรเกินระดับ 3% ต่อ GDP

Screenshot
เอ็กซ์เรย์ ‘โครงสร้างงบประมาณ’: รายจ่ายประจำสูงกว่า 70% – แต่ ‘งบลงทุน’ กลับต่ำลง
เมื่อแบ่งรายจ่าย จะพบว่า วงเงินงบประมาณรายจ่ายปี 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาทนี้ 70.1% ไปอยู่ที่รายจ่ายประจำ (เช่น เงินเดือน ค่าจ้าง ค่าตอบแทน ค่าใช้สอย ค่าวัสดุ ค่าสาธารณูปโภค เป็นต้น) คิดเป็น 2.65 ล้านล้านบาท ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับประมาณการรายได้ที่ 2.92 ล้านล้านบาทแล้ว สะท้อนว่า อย่างไรรัฐบาลก็ต้องกู้เงินมาสมทบอยู่ดี
โดยวงเงินงบประมาณรายจ่ายปี 2569 สามารถแบ่งรายจ่ายได้ 4 ด้าน ดังนี้
- รายจ่ายประจำ วงเงิน 2.65 ล้านล้านบาท (คิดเป็น 70.1% ของวงเงินงบประมาณรายจ่าย) ลดลงจากปีก่อนหน้า 1%
- รายจ่ายลงทุน 8.64 แสนล้านบาท (คิดเป็น 22.9% ของวงเงินงบประมาณรายจ่าย) ลดลงจากปีก่อนหน้า 7.3%
- รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ 1.4 แสนล้านบาท (คิดเป็น 3.7% ของวงเงินงบประมาณรายจ่าย) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 0.6%
- รายจ่ายเพิ่มชดใช้เงินคงคลัง 1.23 แสนล้านบาท (คิดเป็น 3.3% ของวงเงินงบประมาณรายจ่าย) ทั้งนี้ ไม่มีการเสนอตั้งรายจ่ายส่วนนี้ในงบประมาณปี 2568

Screenshot
จับตา รัฐบาลลด ‘งบลงทุน’
สำนักงบประมาณของรัฐสภายังตั้งข้อสังเกตว่า รายจ่ายลงทุนซึ่งถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ลดลงจากปีก่อนหน้าถึง 7.3%
แม้ว่า “รายจ่ายลงทุน (ซึ่งคิดเป็น 22.9% ของวงเงินงบประมาณรายจ่าย) จะมีสัดส่วนไม่น้อยกว่า 20% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามกรอบวินัยการเงินการคลังภาครัฐกำหนด แต่รัฐบาลก็อาจพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายเพื่อกำหนดให้รายจ่ายลงทุนมีสัดส่วนอย่างน้อย 25% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ภายในปี 2575”
ทั้งนี้ มีผลการศึกษาที่ระบุว่า รายจ่ายลงทุนที่เพิ่มขึ้นทุก 1 บาท จะช่วยให้ GDP เพิ่มขึ้น 0.14 บาท หรือหากลดรายจ่ายลงทุน 1 บาท จะทำให้ GDP หายไป 0.14 บาท
ทำอย่างไรให้ งบประมาณปี 2569 ประคองเศรษฐกิจไทยได้มากที่สุด
แม้ว่า งบประมาณปี 2569 จะเพิ่มขึ้นไม่ได้มาก แต่ก็เป็นงบประมาณมากที่สุดเป็นประวัติการณ์อยู่ดี ตามปกติที่งบประมาณจะเพิ่มขึ้นทุกปี ดังนั้นโจทย์สำคัญที่สุดคือ ทำอย่างไรที่จะให้งบประมาณที่ไม่ได้น้อยนี้ เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจมากที่สุด
ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMB Thai) กล่าวว่า รัฐบาลทำงบประมาณเต็มกรอบวินัยการเงินการคลัง และทำอย่างเต็มที่แล้ว แต่สุดท้ายงบประมาณส่วนนี้จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้แค่ไหน ต้องดูใน 2 ประเด็น ได้แก่ คุณภาพในการใช้เงิน และการเบิกจ่ายทำได้เต็มที่แค่ไหน
“ที่เราต้องติดตามกันจริงๆ ประสิทธิภาพการเบิกจ่าย แม้งบลงทุนจะตั้งไว้น้อยลง แต่ถ้าเกิดการเร่งรัดการเบิกจ่ายให้เงินออกไปมากขึ้น ก็อาจไม่ได้กระทบกับ GDP มากนัก อย่าลืมว่า สิ่งที่ไทยเจอตอนนี้ คือ เศรษฐกิจไทยโตต่ำมานาน ขาดความเชื่อมั่น ขาดการลงทุน ดังนั้นรัฐควรเร่งการลงทุนและเร่งการใช้จ่าย เพื่อลดรายจ่ายและเพิ่มความเชื่อมั่นของเอกชน”
“นอกจากนี้ การจะทำให้เงินงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างแท้จริง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ปริมาณ แต่ขึ้นอยู่กับคุณภาพด้วยว่า เงินที่ใช้เกิดตัวทวีคูณกับเศรษฐกิจแค่ไหน และยั่งยืนแค่ไหน” ดร.อมรเทพกล่าว
ดร.อมรเทพยังแนะนำต่อว่า รัฐบาลสามารถนำเงินงบประมาณไปกระตุ้นเศรษฐกิจได้หลายทางเพื่อยกศักยภาพการเติบโตของประเทศ และลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ ตัวอย่างเช่น การยกระดับฝีมือแรงงาน การสร้างงานผ่านโครงการสาธารณูปโภค และชลประทาน การกระจายรายได้ไปสู่ต่างจังหวัดและในชนบท เป็นต้น
แนะเลิกทำมาตรการระยะสั้น เหตุผลต่อเศรษฐกิจน้อยลงเรื่อยๆ
ณัฐพรยังตั้งข้อสังเกตว่า เศรษฐกิจไทยพึ่งพามาตรการระยะสั้นมาโดยตลอดหลังจากเกิดการระบาดของโควิด หรือตั้งแต่ช่วงก่อนหน้านั้นด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม ในระยะหลังๆ พบว่า พอกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยนโยบายระยะสั้นเข้าไปเรื่อยๆ ประสิทธิผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจก็ลดลง หมายความว่า ใส่เข้าไป 1 บาทแต่กลับกระตุ้น GDP ได้น้อยลง
ดังนั้น “จึงเกิดแนวคิดที่ว่า เราควรทำต่อไปหรือไม่ หรือเราควรเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นเพื่อสร้าง GDP ได้ในระยะยาว” ณัฐพรกล่าว
ขณะที่ ภัทร ศิรินิรันดร์ นักวิเคราะห์งบประมาณ ชำนาญการพิเศษ สำนักงบประมาณของรัฐสภา (PBO) ยังระบุว่า ในช่วงก่อนหน้านี้ ที่รัฐบาลเปรยๆ ขึ้นมาว่า อาจจะต้องมีการออกพ.ร.ก.กู้เงินเพิ่ม 5 แสนล้านบาท เพื่อเยียวยาผลกระทบจากนโยบายภาษีสหรัฐฯ จึงขอฝากว่า อย่าให้เหมือนโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่ทำในลักษณะปูพรม โดยอยากเห็นมาตรการทางการคลังหลังจากนี้มีการวินิจฉัยให้ตรงโรคและมีการให้ยารักษาที่ตรงจุด
ภาพ: Winslow Productions / Getty Images