ราคาน้ำมันดิบ (อิง WTI) ช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ปรับตัวขึ้นร้อนแรงแตะระดับ 68 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ก่อนจะเริ่มปรับฐานลงมาอยู่ระดับ 57-58 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลงเกือบ 15% ส่งผลให้ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ทำได้เพียงทรงตัว แม้ว่าตลาดหุ้นโดยรวมจะปรับขึ้น 4%
ภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า ราคาน้ำดิบช่วงไตรมาส 1 ปีนี้ ปรับขึ้นไปถึง 40% หากอิงจากราคาปิดเมื่อปีก่อนกับราคาสูงสุดปีนี้ และถึงแม้ว่าราคาน้ำมันจะอ่อนตัวลงมาอยู่ที่ 57.7 ดอลลาร์ ก็ยังเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 20% ทำให้หุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องจะมีกำไรจากสต๊อกน้ำมันในไตรมาสแรกนี้
“ส่วนตัวมองว่าการปรับฐานของราคาน้ำมันในช่วงที่ผ่านมาจะส่งผลดีต่อเสถียรภาพของกำไรหุ้นกลุ่มพลังงาน เพราะหากราคาน้ำมันปิดไตรมาสที่ระดับสูงเกือบ 70 ดอลลาร์ จะมีความเสี่ยงที่กำไรของกลุ่มอาจจะเผชิญกับขาดทุนสต๊อกน้ำมันได้ในไตรมาสถัดไป แต่เมื่อราคาน้ำมันปรับฐานแล้ว หลังจากนี้ก็มีโอกาสที่ราคาน้ำมันจะแกว่งตัวออกข้าง ซึ่งจะทำให้กำไรของกลุ่มไม่ผันผวน”
สำหรับแนวโน้มของราคาน้ำมัน ประเมินว่าหลังจากนี้มีโอกาสจะขยับขึ้นไปแกว่งตัวอยู่ในกรอบ 65-70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หากสถานการณ์โควิด-19 ในยุโรปเริ่มคลี่คลาย เพราะปัจจุบันหลายประเทศเริ่มกลับมาล็อกดาวน์อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันในระยะยาวคงจะไม่ได้เป็นขาขึ้นและกลับไปถึงระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพราะปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้าได้เข้ามาแทนที่มากขึ้น รวมถึงอุปทานในส่วนของเชลล์ออยล์ รวมถึงแรงกดดันจากความกังวลในเรื่องของเงินเฟ้อทั่วโลก
“การย่อตัวของราคาน้ำมันซึ่งกดดันหุ้นกลุ่มพลังงานช่วงนี้ มองว่าเป็นโอกาสในการเข้าซื้อเป็นรายตัว โดยเฉพาะหุ้นปิโตรเคมีซึ่งธุรกิจหลักกลับมาฟื้นตัวได้ดี ขณะที่ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์เริ่มปรับดีขึ้น ส่วนหุ้นกลุ่มโรงกลั่นน่าจะฟื้นตัวได้ดีช่วงครึ่งปีหลัง แม้ว่าค่าการกลั่นช่วงนี้จะยังต่ำ แต่ครึ่งปีหลังจะได้แรงหนุนจากการเดินทางระหว่างประเทศมากขึ้น”
ด้าน บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุว่า การปรับตัวลงแรงของราคาน้ำมันดิบเกิดจากความกังวลต่อความต้องการใช้น้ำมันที่อาจจะสะดุด หลังจากเยอรมันขยายเวลาล็อกดาวน์ไปถึง 18 เมษายน 2021 ขณะที่ฝรั่งเศสประกาศล็อกดาวน์บางส่วนจากผู้ป่วยโควิด-19 ที่เร่งตัวขึ้น และการฉีดวัคซีนในยุโรปอาจล่าช้าจากการรอตรวจสอบความปลอดภัยของวัคซีน AstraZeneca
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยโควิด-19 ในยุโรป ไม่ได้เลวร้ายเท่ากับช่วงครึ่งปีหลังของปีก่อน และตัวเลขความต้องการใช้น้ำมัน อ้างอิงจาก EIA ของสหรัฐฯ ยังอยู่ในสภาวะฟื้นตัว
โดยภาพรวม กำไรปกติของกลุ่มยังไม่ได้มีดาวน์ไซด์จากราคาน้ำมันดิบที่ยังอยู่ในกรอบที่คาด โดยสมมติฐานน้ำมันดิบช่วงไตรมาส 2 อยู่ที่ 60 ดอลลาร์ ขณะที่ทั้งปีนี้คาดเฉลี่ยอยู่ที่ 53.75 ดอลลาร์
ทั้งนี้ มองว่าราคาหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีอาจถูกกดดันระยะสั้น แต่เป็นโอกาสเข้าสะสม โดยเฉพาะกลุ่มโรงกลั่นอย่าง TOP จากปัจจัยหนุนของอุปสงค์น้ำมันที่ฟื้นตัวต่อเนื่องในปีนี้ คาดว่าค่าการกลั่นจะฟื้นตัวได้เร็วที่สุดในกลุ่ม สำหรับภาพรวมกำไรทั้งปีนี้ของกลุ่ม คาดว่าจะเติบโต 148% จากปีก่อน ซึ่ง PTT และ PTTEP เป็นหุ้นเด่นในช่วงครึ่งปีแรก จากการเป็นผู้ได้ประโยชน์โดยตรงจากราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นตัวเร็ว
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล