ตั้งแต่ปลายปี 2564 ที่หุ้นในกลุ่ม Value Stock กลับมาโดดเด่นกว่าหุ้นกลุ่ม Growth Stock สะท้อนจากตัวชี้วัดหลายๆ อย่าง อาทิ ดัชนี Russell 1000 Value – Growth, 50-Day Change หรือดัชนี MSCI World Value ที่โดดเด่นกว่า MSCI World Growth รวมถึงการที่ดัชนี Dow Jones Industrial Average ที่กลับมาแข็งแกร่งกว่า Nasdaq อีกครั้ง
กระแสของหุ้นกลุ่ม Value Stock ยังคงเป็นธีมการลงทุนหลักในปัจจุบัน และมีแนวโน้มที่จะโดดเด่นกว่าหุ้นกลุ่ม Growth ในช่วงที่เหลือของปีนี้ และนี่คือ 4 เหตุผลหลักที่ทำให้ภาพการลงทุนในปีนี้มีโอกาสจะเป็นเช่นนั้น
1. วัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น
ในมุมของ ภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มองว่า ภาวะผ่อนคลายทางการเงินที่กำลังจะสิ้นสุดลงพร้อมกับการที่ธนาคารกลางหลายแห่งเริ่มประกาศขึ้นดอกเบี้ย รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วๆ นี้
โดยปกติแล้ววัฏจักรของการขึ้นดอกเบี้ยจะกินเวลาต่อเนื่องประมาณ 2 ปี จากสมมติฐานการขึ้นดอกเบี้ยปีละ 4 ครั้ง ครั้งละ 0.25% เท่ากับว่าอัตราดอกเบี้ยมีโอกาสจะถูกปรับขึ้นได้ถึง 2% ซึ่งดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้นนี้จะกระทบต่อกำไรของหุ้นกลุ่ม Growth มากกว่ากลุ่ม Value ด้วยธรรมชาติของธุรกิจซึ่งมักจะมีหนี้เยอะและยังมีกำไรที่บางอยู่
2. สภาพคล่องที่กำลังถูกดูดออกจากระบบ
ภาดลกล่าวต่อว่า ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หุ้นกลุ่ม Growth โดดเด่นอย่างมาก อย่างดัชนี Nasdaq ที่เพิ่มขึ้น 70% ในระหว่างปี 2562-2564 โดยมีปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งคือ แรงหนุนจากเงินต้นทุนต่ำ (Cheap Money) ที่เข้ามาในระบบ
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ที่กลับข้างกันในตอนนี้คือ สภาพคล่องที่เคยถูกอัดฉีดเข้ามากำลังจะถูกดึงกลับออกไป ทำให้หุ้นกลุ่ม Growth กลายเป็นเป้าหมายหลักของการขาย เนื่องจากราคาหุ้นที่แพงเกือบทั้งหมด
“ช่วงที่ผ่านมาเราจะเห็นว่าหุ้นอย่าง Netflix หรือ Meta (Facebook เดิม) ซึ่งปรับลดคาดการณ์การเติบโต ทำให้หุ้นถูกทำโทษหนักทันที ด้วยความแพงของราคาหุ้นในช่วง 2 ปีนี้ มีโอกาสที่หุ้น Value จะโดดเด่นกว่าหุ้น Growth ต่อเนื่อง”
3. การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ ประเมินว่า ปัจจัยที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่จะช่วยให้หุ้น Value โดดเด่นกว่าหุ้น Growth ได้ตลอดทั้งปีนี้คือ เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัวแข็งแกร่งต่อเนื่อง และหากลองพิจารณาอัตราส่วนระหว่าง MSCI World Value กับ MSCI World Growth จะเห็นว่าหุ้นกลุ่ม Value ยังคงมี Discount อยู่ หากการเติบโตของเศรษฐกิจไม่ได้สะดุดในระยะถัดไป ภาพของการลงทุนในปีนี้ก็น่าจะยังเห็นหุ้น Value ที่โดดเด่นกว่า
“อย่างไรก็ตาม ในการลงทุนปีนี้เราไม่จำเป็นจะต้องเกาะติดกับหุ้น Value ตลอดเวลา กลยุทธ์หนึ่งที่อาจจะนำมาใช้คือ การ Selective Buy ในหุ้น Growth บางตัวที่ปรับฐานลงมาแรงจนมี Valuation ที่เหมาะสม”
4. Bond Yield อยู่ในระดับสูง
ณัฐชาตกล่าวต่อว่า หาก Bond Yield ของสหรัฐฯ ไม่ปรับลดลงมาอย่างมีนัยสำคัญ เชื่อว่าหุ้น Value จะยังคงโดดเด่นกว่าหุ้น Growth ต่อไป
“หากหุ้น Value จะกลับมา Underperform หุ้น Growth อีกครั้ง เชื่อว่าอาจจะต้องเห็น Bond Yield รุ่นยาว ลดลงมาอยู่ในระดับ 1.5% อีกครั้ง”
อย่างไรก็ตาม Bond Yield ในระดับ 1.8% ในขณะนี้ น่าจะเป็นฐานที่เหมาะสมของปีนี้ ซึ่งตัวเลขนี้น่าจะรับรู้ในเรื่องของการลดขนาดงบดุลของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่น่าจะเริ่มต้นในเดือนกรกฎาคมนี้ โดยการลดลงน่าจะอยู่ในระดับ 6 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน
ขณะที่ Wall Street Journal มองว่า ความเสี่ยงสำคัญต่อหุ้น Value ในปีนี้คือ นโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ความขัดแย้งระหว่างประเทศ หรือปัญหาด้านอุปทาน ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับตัวลงของ Bond Yield และทำให้ความแข็งแกร่งของหุ้น Value ค่อยๆ เลือนหายไป
อ้างอิง:
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
- Twitter: twitter.com/standard_wealth
- Instagram: instagram.com/thestandardwealth
- Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP