×

เมื่อพี่แอมกับพี่ช่าถามกลับว่า “ทำไมคนชอบคิดว่าเราสองคนเป็นผู้หญิงแกร่งกันนัก”

29.01.2018
  • LOADING...

“ทำไมคนชอบคิดว่าพี่กับพี่แอมเป็นผู้หญิงแกร่งกันนักนะ นั่นสิ คงต้องถามน้องหน่อยว่าทำไมล่ะครับ” พี่ช่าถามผมกลับ


ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่ผมชอบเวลาพี่ช่าใช้คำว่า ‘ครับ’   


“ถ้าให้ตอบ ผมคงมองจากมุมที่พี่ๆ ก้าวข้ามผ่านวิกฤตในชีวิตได้ ผมรู้สึกว่าพวกพี่เป็นเซอร์ไวเวอร์ และเรื่องราวชีวิตของพี่ๆ ก็ให้แรงบันดาลใจกับคนอื่นๆ” ผมตอบในสิ่งที่ผมคิด


จะไม่ให้มองว่าเป็นผู้หญิงแกร่งได้อย่างไร ทุกคนก็รู้ว่า มาช่า วัฒนพานิช กับ เสาวลักษณ์ ลีละบุตร เป็นนักร้องที่มีความสามารถในการร้องเพลง ขึ้นชื่อในความทุ่มเทให้กับผลงานทุกชิ้น อยู่ในวงการบันเทิงมานาน แล้วก็ไม่มีอะไรมาโค่นเธอลงได้สักที ในขณะที่หลายคนรุ่นเดียวกับพวกเธอ (หรืออาจจะหลังเธอด้วยซ้ำ) หายเงียบไปเรียบร้อยแล้ว


และว่ากันตามตรง หลายครั้งที่เราเห็นวิกฤตเกิดขึ้นกับชีวิตของผู้หญิงสองคนนี้ เราก็เห็นเธอเผชิญหน้ากับความโหดร้ายของมันและรอดมาได้ทุกครั้ง ถ้าใจไม่แกร่งจริงจะอยู่รอดมาได้อย่างไร


“ไม่หรอก พวกพี่ไม่ได้เป็นผู้หญิงแกร่งอะไรเลย ก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง มีผู้หญิงอีกหลายคนที่แกร่งกว่าพี่อีกมากมากกกกกก” พี่แอมย้ำ


มีหลายสิ่งที่มนุษย์ธรรมดาสองคนที่มีทั้งด้านแข็งแกร่งและอีกหลายด้านอยากจะบอกกับคุณในบทสัมภาษณ์นี้


อีกสิ่งที่อยากเล่าให้คุณอ่านก็คือเราเริ่มการสัมภาษณ์นี้กันตอนห้าทุ่มกว่าและเสร็จสิ้นในเวลาเกือบตีหนึ่ง มันเป็นสถิติการสัมภาษณ์ที่ดึกที่สุดที่ทั้งคู่เคยมี (และเราเคยทำ!) แต่นั่นเป็นคิวเดียวที่ทั้งคู่จะว่างมานั่งคุย (เรื่องเครียดๆ) กับ THE STANDARD x ท้อฟฟี่ แบรดชอว์ แล้วจริงๆ และหลังจบสัมภาษณ์ พี่แอมยังต้องกลับไปเก็บกระเป๋าเพื่อไปสนามบินต่อ


ไม่แกร่งจริงทำไม่ได้ แม่ก็คือแม่ตัวจริง

ความทุกข์มักจะถูกจดจำได้มากกว่าความสุข เรามักจะจำเวลาที่เศร้าได้มากกว่าเวลาที่สุข

 

เวลากลับไปฟังเพลงในอัลบั้มเก่าๆ รู้สึกอย่างไรกับผู้หญิงที่อยู่ในเพลงของพวกพี่ครับ

มาช่า: พี่ช่าว่ามันก็เหมาะกับเขาในเวลานั้นแหละ เขาเป็นคนแบบนั้น ณ เวลานั้น และเมื่อเวลาผ่านไปเป็นอัลบั้มอื่น เขาก็เปลี่ยนไปเป็นแบบอื่นตามแต่เวลาที่เปลี่ยนไป เพราะฉะนั้นมันคือใช่ที่สุด ณ เวลานั้น


แอม: แต่ละปีความคิดความอ่านคนเราก็จะเปลี่ยน แค่ตัวเราเองวันนี้กับปีที่แล้วยังไม่เหมือนกันเลย ผู้หญิงคนนั้น ณ เวลานั้น เราจะไม่ค่อยขัดใจอะไร เพราะมันไม่ใช่เราวันนี้ เราเอาวันนี้ไปตัดสินคนนั้นมันก็ไม่ค่อยแฟร์เท่าไร


มาช่า: มันเป็นประสบการณ์ ถ้าไม่มีก้าวแรกก็จะไม่มีก้าวต่อๆ มา คงเอาไปเทียบกันไม่ได้ จะเอาเราในก้าวที่ 10 ไปตัดสินเราในก้าวที่ 1 ก็คงไม่ใช่


แอม: ถ้าเราไม่เคยทำอะไรอี๋ๆ นะ เราก็จะไม่รู้ว่า อ๋อ! อันนี้มันอี๋นะ อย่าทำอีกนะแก (หัวเราะ)

 

พี่ๆ เป็นนักร้องหญิงไม่กี่คนที่แต่งเพลงเอง แล้วเพลงที่แต่งก็ดีมากๆ ด้วย อยากรู้ว่าทุกวันนี้พี่ๆ ยังอยากแต่งเพลงอยู่ไหมครับ

แอม: มีอยู่เป็นพักๆ ค่ะ แต่มันคงเป็นเพลงที่ไม่ขาย ไม่รู้จะไปขายใครที่ไหน (หัวเราะ) ล่าสุดเป็นสิบปีแล้วมั้ง มีเพลงที่อยากเขียนแล้วแต่ไม่มีใครให้ผ่าน ชื่อเพลง ‘สังสารวัฏ’ จริงๆ มันก็มีที่ให้ลงนะ ดูอย่างน้องปาน ธนพร ก็ยังทำเพลงเพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนา แต่เวลามันล่วงเลยมาพี่ก็ยังไม่ได้ทำ


มาช่า: ช่าต้องมีอารมณ์ร่วมก่อนถึงจะแต่งได้ ช่าไม่ใช่นักแต่งเพลงอาชีพ ถ้าไม่มีอารมณ์ร่วมหรือเหตุการณ์ร่วมมาจุดประเด็นขึ้นมาก็นึกไม่ออกว่าจะเขียนอะไร

 

พี่ๆ เติบโตมากับการทำอัลบั้มเต็ม แต่ทุกวันนี้นักร้องจะมีผลงานกันแต่ละทีก็ออกมาแค่ซิงเกิลเดียว ยากมากที่จะมีอัลบั้มเต็ม พี่ๆ คิดถึงการทำอัลบั้มเต็มไหมครับ

แอม: ไม่ (หัวเราะ) เหนื่อย โลกเปลี่ยน วิธีการฟังของคนก็เปลี่ยน


มาช่า: แต่มันไม่ได้ทำให้ความชอบร้องเพลงของพี่เปลี่ยนไปนะ พี่ก็ยังชอบร้องเพลงอยู่ดี แต่จะให้หันไปใช้วิธีการแบบเก่า ออกเป็นอัลบั้ม 10 เพลงคงยากสำหรับปัจจุบันแล้ว


แอม: พี่คิดว่าคงไม่มีใครใส่ใจฟัง แค่เอาให้จบเพลงก่อนดีกว่า (หัวเราะ) จะให้ฟัง 10 เพลง เอาฟังเพลงเดียวให้จบก่อน แค่นี้ก็คงลุ้นแย่แล้วมั้ง เดี๋ยวนี้เขียนข้อความอะไรยาวหน่อยคนก็ไม่อ่านแล้ว อาจจะมี แต่เหลือน้อย มันถึงจุดที่ไม่มีใครพูดด้วย เพราะเขามีมือถือกันหมด แล้วก็นั่งหัวโด่อยู่คนเดียวว่าไม่มีใครคุยกับกูเลย (หัวเราะ)


มาช่า: ตอนนี้รู้สึกเหมือนทุกคนอยากจะพูดเรื่องตัวเอง ไม่มีใครอยากฟังเรื่องคนอื่น พี่รู้สึกว่าสังคมมันเปลี่ยน มีแต่คนอยากจะพูดเรื่องตัวเอง จริงๆ โซเชียลมีเดียมันก็ทั้งด้านดีและไม่ดี อยู่ที่เราจะใช้ด้านไหน ถ้าให้พี่เป็นห่วงจริงๆ พี่ห่วงเรื่องมลภาวะบนโลกนะ โทรศัพท์เดี๋ยวนี้ใช้ยังไม่ทันจะพังกันเลยก็ต้องถูกเบียดเบียนให้เปลี่ยนแล้ว สงสารโลกเหมือนกันนะ ถึงตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง


แอม: ไม่เป็นไร ตายแล้ว (หัวเราะ)


มาช่า: เราอาจจะย้อนกลับมากันอีกรอบก็ได้นะพี่ (หัวเราะ)


แอม: โอ๊ย! พอแล้ว

 

 

สิ่งที่เปลี่ยนไปชัดเจนมากในคอนเสิร์ตคือเมื่อก่อนคนจะร้อง จะเต้น แต่เดี๋ยวนี้คอนเสิร์ตจะสนุกแค่ไหน แต่คนก็จริงจังกับการหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปหรืออัดคลิป ในฐานะที่พี่ๆ อยู่บนเวที รู้สึกไหมครับว่าสุนทรียภาพของการดูคอนเสิร์ตมันเปลี่ยนไป

แอม: มันมีสิ่งที่พี่พยายามปรับตัวอยู่ จริงๆ เป็นสิ่งที่พี่ไม่ค่อยชอบเลยก็คือการไลฟ์ผ่านมือถือ เมื่อก่อนเวลาเราร้องเพลงที่ไหนก็คือการแสดงให้คนดูที่อยู่ที่นั่นดู อาจจะมีการบันทึกเทปบ้าง ซึ่งเขาก็จะบอกกล่าวให้เรารู้ ปัจจุบันนี้มันห้ามไม่ได้ จริงๆ แล้วมันเป็นมารยาท มันกลายเป็นว่าเราไลฟ์กันทุกที่ ใครก็ไลฟ์ได้ ทำอะไรกับเราก็ได้โดยไม่ต้องถามความสมัครใจใดๆ ทั้งสิ้น พี่รู้สึกเหมือนถูกข่มขืน มันเหมือนกับเราจะถูกออนแอร์เมื่อไรก็ได้ ไม่มีใครขออนุญาตกัน ไม่ถามว่าเต็มใจหรือไม่เต็มใจ นี่เป็นสิ่งที่พี่พยายามปรับตัวทำความเข้าใจกับมันอยู่ เพราะถ้าเราไม่ปรับ เขาก็จะบอกว่าช่างมึงสิ ก็จ้างคนอื่น (หัวเราะ)

 

ซึ่งในคอนเสิร์ตที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ มองลงไปจากเวทีก็จะเห็นมือถือส่องพี่กันเป็นแถวๆ อีกเช่นกัน

แอม: ตอนนี้มันกลายเป็นภาพที่เราเห็นประจำ พี่มองลงไปก็จะเห็นแต่โทรศัพท์ ที่จริงเราไม่ได้รังเกียจ บางทีคนดูอาจจะอยากจะเก็บไว้ดูนิดๆ หน่อยๆ แต่ไลฟ์สดนี่พี่ไม่เห็นด้วย มันเหมือนถูกข่มขืนจริงๆ นะ เพราะเราช่วยตัวเองไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้


มาช่า: มันทำให้แทนที่เราจะโฟกัสกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้ากลายมาเป็นโฟกัสกับโทรศัพท์แทน เราน่าจะได้มีส่วนร่วมกัน เพราะเราอยู่ใกล้กันขนาดนี้แล้ว มันน่าจะเป็นตาต่อตา ความรู้สึกต่อความรู้สึก ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตาเก็บคลิปแบบนี้

 

ดูพี่ๆ ทั้งสองเป็นคนสนุกสนานร่าเริง แต่น่าสนใจที่เพลงที่ดังส่วนใหญ่จะเป็นเพลงเศร้า ผมเห็นอเดลแล้วก็ยังนึกถึงพี่ๆ ทั้งสองคน เพราะอเดลเป็นคนตลกมาก แต่เพลงในอัลบั้มเศร้ามากพอๆ กับเพลงของพี่ๆ รู้สึกอย่างไรกับการที่มีความเศร้าเป็นเครื่องหมายการค้าครับ

แอม: พี่คิดว่าเป็นที่เนื้อเสียงของพี่มากกว่าที่สื่อสารเพลงเศร้าได้ดี เพราะเป็นเนื้อเสียงหม่น ไม่รู้สิ เวลาร้องเพลงสดใสคงเสียงไม่สดใสมั้ง (หัวเราะ) แม้กระทั่งเอาเพลงคนอื่นมาคัฟเวอร์ก็ยังได้อารมณ์แบบนั้น


มาช่า: เอาเพลงนี้ไปร้องไหมล่ะ สายน้ำไม่ไหลกลับ


แอม: เคยเอาไปร้องแล้ว ไม่เพราะเหมือนของช่า


มาช่า: กลายเป็นน้ำตาไนแองการาเลยค่ะ! (หัวเราะ)


แอม: ใช่ มันก็จะโหดไป แต่ช่ายังเสียงสว่างกว่าพี่


มาช่า: จริงๆ เพลงเศร้ามากๆ ช่าก็รำคาญนะ แต่อาจจะไปถูกใจคนด้วยเสียง ด้วยเนื้อเพลงมั้งคะ

 

 

เพลงเศร้าให้อะไรกับชีวิตคนเราบ้างครับ เราจะเรียนรู้จากอะไรจากเพลงเศร้าได้บ้าง

แอม: บางครั้งเวลาที่คนเราเศร้าแล้วฟังเพลงเศร้า พี่คิดว่ามันเป็นเหมือนเพื่อนเขา เหมือนเครื่องปลอบประโลมว่ามีคนคิดเหมือนเรา รู้สึกอย่างเรา ความทุกข์มักจะถูกจดจำได้มากกว่าความสุข เรามักจะจำเวลาที่เศร้าได้มากกว่าเวลาที่สุข เลยต้องการฟังเพลงเพื่อปลอบใจ เหมือนอยากที่จะระบายมันออกไป เพลงเศร้าคงไม่ได้เริ่มมามี พ.ศ. นี้ มีมาตั้งนานมากแล้ว มันเป็นการแสดงออกอย่างหนึ่งของมนุษย์ ลองไปฟังเพลงเก่าๆ ของสกอตแลนด์หรือไอร์แลนด์ ฟังแล้วเขาโหยหาอะไร นั่นก็ตั้งแต่ก่อนที่เราจะเกิดเสียอีก เพลงเหล่านั้นมันสื่อสารอะไรอยู่


มาช่า: บางทีเราฟังเพลงเศร้าเพียงเพราะว่ามันเพราะดีแค่นั้นเอง แต่ก็อาจจะมีที่บางคนฟังเพลงเศร้าเพราะมันตรงกับสถานการณ์ในชีวิตของเขา

 

แอม: ที่จริงเราเรียนรู้จากอะไรก็ได้ทุกอย่างในโลกเลย ถ้าเรามีปัญญา ไม่ใช่ว่าเราจะตะบี้ตะบันฟังแต่เพลงเศร้าแล้วมาจ่อมจมกับสิ่งเหล่านี้ ถ้าเราไม่ใช้ปัญญา เราก็จะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย คนที่คิดก็จะได้กำไร อย่างคนซื้อหนังสือเล่มเดียวกันก็ได้กำไรไม่เท่ากัน ทั้งที่หนังสือราคาเท่ากัน บางคนเขาฟังเพลงเศร้าเสร็จแล้วเขาสตรองนะ ทุกอย่างมันมีจุดของมัน เศร้าจนถึงขีดสุดแล้วมันก็จะหยุดของมันเอง

 

มาช่า: มนุษย์โชคดีที่มีต่อมน้ำตาให้ระบาย ไม่อย่างนั้นถ้าทุกอย่างที่เราเก็บมาแล้วไม่มีทางระบายออกคงต้องไปกรี๊ดแทน แต่นี่มีน้ำตามาให้ร้องไห้ออกมา ก็โล่งใจขึ้นนะ บางคนก็อาจจะกดเพลงเศร้าบิลด์ตัวเองนิดนึง ฉันอยากเล่น MV นิดนึง แล้วร้องไห้ออกมา


แอม: เคยร้องไห้ไม่ออกกันไหมคะ มันทรมานนะ บางทีเราต้องการเพลงเศร้าให้เราได้เทกระโถนหน่อย บางทีมันเยอะมากจนเราร้องไห้ไม่ออก มันก็ทารุณเหมือนกันนะ เลยต้องหาเพลงมาฟังสักหน่อยเพื่อให้ร้องไห้ให้เสร็จ จะได้จบสักที พรุ่งนี้จะได้ไปทำอะไรต่อได้ ไม่อย่างนั้นเราอาจจะไปน้ำตาแตกต่อหน้าผู้คนหรือในที่ที่เราไม่ควรจะร้องไห้ ร้องให้เสร็จก่อนดีไหม ร้องให้เป็นที่เป็นทาง นี่แหละที่เพลงเศร้าช่วยเราได้ มันคือการระบายของเสียทางร่างกาย ถ้าเรามีของเสียทางจิตใจแล้วเราระบายออกมาเป็นน้ำตา ใครมาชี้หน้าด่าเราว่าอ่อนแอนี่… เฮ้ย! ขอโทษนะ fuck you! แล้วพอร้องไห้ถึงจุดหนึ่งเราก็จะหยุด จะร้องไห้ตลอดปีตลอดชาติเลยเหรอ (หัวเราะ)


มาช่า: คนอื่นมาบอกก็ได้อยู่นะ แต่เราต้องรู้ตัวเองให้ได้มากที่สุดว่าตัวเองต้องการอะไร อยากเป็นคนแบบไหน อยากทำอะไร ถ้าอยากจะนั่งร้องไห้แบบนี้ก็เอาเลย ไม่มีใครว่า เพราะชีวิตของคุณ คุณต้องเป็นคนตัดสินใจ

ทุกอย่างที่เราเอาความรู้สึกไปยึดมั่นถือมั่น ไปผูกพัน และเราเรียกมันว่าความรัก เมื่อมันได้เปลี่ยนแปลงไปตามกฎของธรรมชาติก็เป็นทุกข์ทั้งนั้น

 

พี่รู้สึกอย่างไรกับการที่คนยกให้เป็นตัวแทนของผู้หญิงแกร่งครับ กดดันไหมครับที่กลายเป็นว่าต้องแข็งแกร่งตลอดเวลา

มาช่า: ทำไมคนชอบคิดว่าเราสองคนเป็นผู้หญิงแกร่งกันนะ พี่ไม่ใช่แค่สองคนในโลกที่ผ่านวิกฤตกันนะ พี่เชื่อว่าทุกคนก็ต้องผ่านกันเหมือนกัน แต่อาจจะไม่ได้ถูกหยิบขึ้นมาพูดถึง พี่ไม่อยากบอกว่าพี่สตรองอะไรมากนักหนา และเราก็อ่อนไหวเหมือนกัน มีทุกมุม


แอม: มันเป็นเพราะเราเป็นที่รู้จักมากกว่า จริงๆ มีผู้หญิงแกร่งกว่าเรามากในโลกนี้ แต่เขาไม่ได้เป็นที่รู้จัก บางทีพี่ยังต้องไปหาแรงบันดาลใจจากคนอื่นเลย ถ้าบอกว่าเป็นเซอร์ไวเวอร์ก็คงใช่ประมาณหนึ่ง

 

ตอนนี้มี social movement เกี่ยวกับผู้หญิงมากขึ้น ในต่างประเทศก็มี #MeToo ในฐานะที่พี่เป็นผู้หญิง อยากอธิบายความรู้สึกของการเป็นผู้หญิงให้ผู้ชายเข้าใจว่าอย่างไร    

แอม: พี่รู้สึกว่าการที่จะมาบอกว่าเป็นผู้ชายเป็นแบบนั้นหรือผู้หญิงเป็นแบบนี้ก็ดูจะแบ่งแยกไป ทั้งหมดนั้นก็เป็นมนุษย์เหมือนกันหมด ที่จริงก็โดนทำร้ายได้เท่าๆ กันทั้งสองเพศนะ


มาช่า: ผู้หญิงเป็นเพศที่อ่อนแอด้านสรีระอยู่แล้วมาตั้งแต่โบราณ พอมาในปัจจุบัน เล่ห์เหลี่ยมมันก็เยอะขึ้น ผู้หญิงก็อาจจะใช้มุมอ่อนแอมาเป็นมุมตีกลับแกล้งผู้ชายได้เหมือนกัน ไม่มีใครน้อยหน้าใครหรอก


แอม: ผู้หญิงฆ่าหั่นศพก็มี (หัวเราะ)


มาช่า: เดี๋ยวนี้เป็นคู่รักกันก็เรียกมึงกูกันแล้วนะ (หัวเราะ) ช่ายังตกใจเลย


แอม: นอกจากผู้หญิงจะเสียเปรียบด้านสรีระที่อ่อนแอกว่าแล้วยังต้องพยายามมากกว่าผู้ชายเพื่อที่จะได้อะไรมา มีอยู่ปีหนึ่งออสการ์ก็มีการตั้งคำถามว่าทำไมค่าตัวนักแสดงหญิงไม่เท่ากับนักแสดงชาย ผู้ชายดูเหมือนจะเป็นเจ้าของโลกนี้ สมัยก่อนมีลูกก็ต้องมีลูกชายเพื่อให้ได้สืบตระกูล ถ้ามีลูกสาวก็จะไม่มีอำนาจ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งฝั่งตะวันออกและตะวันตก


มาช่า: แต่จริงๆ ผู้หญิงเป็นเพศที่ทนรับความเจ็บปวดได้มากกว่าผู้ชายเยอะนะ ไม่อย่างนั้นธรรมชาติคงไม่ให้ผู้หญิงเป็นคนอุ้มท้อง ช่าเชื่อว่าผู้หญิงมีความอดทนมากกว่าผู้ชาย


แอม: ผู้หญิงอุ้มท้องด้วย และตายช้ากว่าด้วย ผู้ชายตายเร็วกว่านะ (หัวเราะ) มันเหมือนว่าโลกสมัยใหม่เท่าเทียม แต่มันไม่เคยเท่าเทียมแม้แต่ในประเทศที่เจริญแล้ว ถึงจะมีกฎหมายก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีใครให้ความคุ้มครองผู้หญิงที่ถูกกระทำรุนแรงได้จริง มีความรุนแรงเกิดขึ้นกับผู้หญิงอยู่ทุกวัน ตามเก็บได้ไม่หมด ผู้ชายต้องมีความเมตตามากกว่านี้ อยากให้มีผู้ชายที่มีใจกรุณา ต้องสร้างจิตสำนึกของคนทั้งโลกร่วมกัน ความเมตตาเท่านั้นที่จะสร้างสันติสุขได้

 

 

เท่าที่สังเกตเพลงในแต่ละอัลบั้มของพี่ นอกจากเพลงรักแล้วจะมีเพลงที่พูดถึงความเข้าใจชีวิตด้วยอย่าง เพราะไม่เข้าใจ, ครึ่งหนึ่งของชีวิต, หากไม่มีพรุ่งนี้, รสชาติความเป็นคน, ปลดปล่อย, มายา, ฉันจึงลืมตา, พอเพียง ฯลฯ มีบทเรียนอะไรบ้างที่พี่เพิ่งได้มาเข้าใจในวัยนี้ครับ

แอม: เมื่อเด็กๆ ได้ยินคำสอนว่า ‘ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์’ พี่จะรู้สึกคัดค้านมาก พี่ไม่เข้าใจเลย ความรักมันจะหลั่งสารแห่งความสุข มันสวยงาม จะเป็นทุกข์ไปได้อย่างไร แต่ถ้าถามพี่วันนี้ นี่เป็นสิ่งที่เพิ่งจะเข้าใจอย่างถ่องแท้จริงๆ ระยะหลังมานี้เอง รักอะไรก็ทุกข์กับสิ่งนั้น ไม่ใช่แค่ความรักของคู่รักนะคะ แต่รักอะไรก็เป็นทุกข์ ทุกอย่างที่เราเอาความรู้สึกไปยึดมั่นถือมั่น ไปผูกพัน และเราเรียกมันว่าความรัก เมื่อมันได้เปลี่ยนแปลงไปตามกฎของธรรมชาติก็เป็นทุกข์ทั้งนั้น แม้กระทั่งยังไม่ต้องพลัดพรากจากกัน แค่ความเป็นห่วงก็เป็นทุกข์มากพอแล้ว ทุกอย่างที่เราบอกว่าเป็นของฉัน เป็นความทุกข์ทั้งสิ้น

 

มีบทเรียนอะไรจากคนเจเนอเรชัน X ที่พี่อยากมอบให้คนเจเนอเรชัน Y บ้างครับ

แอม: บทเรียนที่ฉมังที่สุดคือบทเรียนที่พบเจอด้วยตัวเอง อาจจะมีใครแนะนำหรือเรียนรู้จากคนอื่นได้ แต่ไม่มีอะไรขลังหรือศักดิ์สิทธิ์เท่าเรียนรู้ด้วยตัวเอง ไปเรียนรู้เอาเองไหม เพราะเราก็เรียนรู้ด้วยตัวเองเหมือนกัน (หัวเราะ) บอกแล้วจะเชื่อไหม


มาช่า: ไปเรียนรู้ด้วยตัวเอง ส่วนจะดูชีวิตเราแล้วอยากหยิบอะไรไปใช้ก็ตามใจ อีกอย่างพี่ก็ไม่ได้รู้สึกอยากให้ใครมามองว่าเป็นฮีโร่อะไรมากมายขนาดนั้น เพราะจริงๆ พี่ก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกัน ผ่านร้อนผ่านหนาวมา แต่สิ่งที่รู้คือพยายามทำให้ดีที่สุดในแต่ละวันและพยายามใช้ชีวิตต่อไป เพราะพี่เองก็ต้องเลือกเหมือนกันว่าจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร


แอม: มีสิ่งหนึ่งที่พี่ยอมเชย แต่พี่บอกได้เลยว่าถ้าเราขาดคุณธรรมไปเรื่อยๆ ไร้สติไปเรื่อยๆ กับเทคโนโลยีโดยไม่มีคุณธรรม เมื่อนั้นไม่ว่าจะเจเนอเรชันไหนก็ตาม ตัวใครตัวมันนะคะ เพราะคุณจะรู้ได้ยังไงว่าจะเอาตัวรอดจากเทคโนโลยีได้ คุณจะใช้มันหรือจะให้มันใช้เรา ทุกวันนี้เราก็กึ่งเป็นทาสมันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่มีสติปัญญาพอ ไม่มีคุณธรรมพอ ทุกวันนี้ก็เห็นกันอยู่แล้วว่าเราฆ่ากันถึงตายได้ในโซเชียลเน็ตเวิร์กโดยที่ไม่รู้จักหน้าค่าตากัน เราทำให้ชีวิตใครต่อใครหมดอนาคตด้วยการพิมพ์อะไรลงไปก็ได้แค่แป๊บเดียวเท่านั้นเอง ถ้าใครคิดว่าเรื่องคุณธรรมมันเชยก็แล้วแต่บุญแต่กรรมแล้วกัน (หัวเราะ)

FYI
  • พบกับแอม เสาวลักษณ์ และมาช่า วัฒนพานิช ได้ใน Amp Sha Concert วันที่ 3-4 กุมภาพันธ์ 2018 ที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ สยามพารากอน (รอบวันเสาร์ 19.00 น. / รอบวันอาทิตย์ 17.00 น.)
  • จองบัตรได้ทาง www.thaiticketmajor.com
  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X