×

กมธ.นิรโทษกรรม ส่งรายงานให้สภาพิจารณา พร้อมข้อสังเกตให้ ครม. ดำเนินการโดยเร็ว

โดย THE STANDARD TEAM
01.08.2024
  • LOADING...

วันนี้ (1 สิงหาคม) ที่อาคารรัฐสภา นิกร จำนง เลขานุการคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม แถลงข่าวเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคมที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญได้พิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญ ก่อนเสนอรายงานต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป 

 

ผลการศึกษาพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญ ประกอบด้วย ช่วงเวลาในการนิรโทษกรรม ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2548 ถึงปัจจุบัน ประเด็นคดีที่ควรได้รับการนิรโทษกรรม แบ่งเป็น คดีหลัก, คดีรอง และคดีที่มีความอ่อนไหว เนื่องจากความขัดแย้งครอบคลุมช่วงระยะเวลาที่ยาวนาน ทำให้มีข้อมูลสถิติต้องพิจารณาจำนวนมาก เพื่อประโยชน์ในการอำนวยความยุติธรรม 

 

  • คดีหลักคือคดีที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยตรง เป็นการกระทำที่เกิดจากแรงจูงใจทางการเมือง 

 

  • คดีรองคือคดีที่พ่วงมากับคดีหลัก หรือคดีที่มีความผิดลหุโทษ อย่างไรก็ดี การพิจารณาคดีรองต้องพิจารณาด้วยว่าเป็นการกระทำที่เกิดจากแรงจูงใจทางการเมืองหรือไม่ 

 

  • ส่วนคดีที่มีความอ่อนไหวคือคดีที่ยังเป็นข้อขัดแย้งถกเถียงในสังคมอยู่

 

ส่วนรูปแบบและกระบวนการในการนิรโทษกรรม ใช้การนิรโทษกรรมโดยใช้รูปแบบผสมผสาน และกำหนดนิยามของคำว่า การกระทำที่เกิดจากแรงจูงใจทางการเมือง คือการกระทำที่มีพื้นฐานมาจากความคิดที่เกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง หรือต้องการบรรลุเป้าหมายทางการเมืองอย่างใดอย่างหนึ่ง ในช่วงเวลาที่มีความขัดแย้งหรือเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง

 

คณะกรรมาธิการวิสามัญยังเห็นว่า ควรกำหนดขอบเขตของการนิรโทษกรรม ตลอดจนข้อดี-ข้อเสียของการนิรโทษกรรมหรือไม่นิรโทษกรรมในคดีหลัก, คดีรอง และคดีที่มีความอ่อนไหว โดยเฉพาะความเห็นของกรรมาธิการแต่ละคนในคดีความผิดตามมาตรา 110 และ 112 (ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์) โดยกรรมาธิการแสดงความเห็นออกเป็น 3 แนวทาง ดังนี้ 

 

แนวทางที่ 1 ไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมคดีที่มีความอ่อนไหว 

 

แนวทางที่ 2 เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมคดีที่มีความอ่อนไหวโดยมีเงื่อนไข โดยกรรมาธิการที่เห็นด้วยกับแนวทางนี้ได้เสนอเงื่อนไขในการนิรโทษกรรมคดีที่มีความอ่อนไหว (ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112) ของกรรมาธิการ และที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการที่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมคดีที่มีความอ่อนไหวโดยมีเงื่อนไขด้วย 

 

แนวทางที่ 3 เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมคดีที่มีความอ่อนไหวโดยไม่มีเงื่อนไข

 

นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการวิสามัญยังตั้งข้อสังเกต ได้แก่

 

  1. คณะรัฐมนตรี (ครม.) ควรพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อนำไปเป็นแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมโดยเร็ว พร้อมทั้งออกนโยบายและมาตรการที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม และแจ้งผลของการพิจารณาหรือการปฏิบัติตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญมายังที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร จากนั้นให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรแจ้งผลดังกล่าวไปยังคณะกรรมาธิการสามัญทั้ง 35 คณะ เพื่อติดตามผลการปฏิบัติตามมติของสภาต่อไป

 

  1. ข้อมูลสถิติคดีจากหน่วยงานของรัฐและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม สะท้อนให้เห็นถึงลักษณะเฉพาะบางประการของกลุ่มชุมนุม ทำให้สามารถนำข้อมูลดังกล่าวมาประกอบการพิจารณาได้ว่าคดีใดเป็นคดีที่เป็นการกระทำที่เกิดจากแรงจูงใจทางการเมือง และข้อมูลที่ควรใช้เป็นหลักในการพิจารณาคือข้อมูลของสำนักงานศาลยุติธรรม เนื่องจากเป็นข้อมูลที่รวบรวมสถิติไว้อย่างเป็นระบบ มีความชัดเจนพอสมควร และฟ้องร้องเป็นคดีแล้ว อย่างไรก็ตาม ในแต่ละฐานความผิดยังสมควรต้องสืบค้นจำนวนผู้กระทำความผิดมาประกอบการพิจารณาด้วย 

 

  1. ฐานความผิดนั้นมีความยึดโยงกับการนิรโทษกรรมอย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือ ฐานความผิดนั้นสามารถเป็นกรอบในการพิจารณาว่าฐานความผิดใดที่มีผลสืบเนื่องมาจากแรงจูงใจทางการเมือง ซึ่งจะเป็นแนวทางในการพิจารณาเรื่องการนิรโทษกรรม หรือการดำเนินการอื่นใด และประเด็นฐานความผิดเกี่ยวกับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 และมาตรา 112 นั้น ยังคงเป็นประเด็นที่มีความอ่อนไหวอยู่

 

  1. ถึงแม้โดยหลักการเห็นว่าไม่ควรนิรโทษกรรมผู้กระทำความผิดตามมาตรา 288 และมาตรา 289 (การฆ่าผู้อื่น และการฆ่าเจ้าพนักงาน) อย่างไรก็ดี มีการแสดงข้อกังวลว่า การจะนิรโทษกรรมคดีใด ไม่ควรพิจารณาจากข้อหาเพียงอย่างเดียว เพราะอาจมีคดีที่ผ่านกระบวนการยุติธรรมที่ไม่ปกติ หรือถูกกลั่นแกล้งว่ากระทำความผิดตามมาตราดังกล่าว กล่าวคือ ผู้ถูกดำเนินคดีไม่มีเจตนา ไม่ได้กระทำผิด หรือไม่มีผู้เสียชีวิตจริง ในกรณีนี้ควรให้มีการสืบพยานเพื่อให้ทราบว่า ผู้ถูกดำเนินคดีเป็นผู้กระทำความผิดจริงหรือไม่

ถ้าผู้ถูกดำเนินคดีไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิดก็ควรให้สิทธิเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของคณะกรรมการนิรโทษกรรม เพื่อเป็นช่องทางหนึ่งในการอำนวยความยุติธรรม

 

  1. สภาผู้แทนราษฎรควรมีข้อสังเกตไปยังคณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นฝ่ายบริหารว่า ในระหว่างที่ยังไม่มีการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม สมควรที่คณะรัฐมนตรีจะได้กำหนดนโยบายให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมดำเนินการตามกลไกของกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบ เพื่อเป็นการอำนวยความยุติธรรมตามแนวทางที่คณะกรรมาธิการวิสามัญเสนอ

 

  1. การกำหนดให้ผู้ได้รับนิรโทษกรรมได้รับสิทธิที่ต้องสูญเสียไปโดยผลของคำพิพากษากลับคืนมา สามารถกระทำได้ โดยต้องกำหนดไว้ในกฎหมายอย่างชัดแจ้งว่าจะคืนสิทธิใดบ้าง และเมื่อการนิรโทษกรรมที่จะเกิดขึ้นนี้ มุ่งหมายในการคลี่คลายประเด็นความขัดแย้งทางการเมือง ดังนั้น จึงควรคืนสิทธิทางการเมืองให้กับผู้ที่ได้รับนิรโทษกรรม
  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

X
Close Advertising