สื่อโลกจับตาการเลือกตั้งกัมพูชาที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ (23 กรกฎาคม) โดยคาดว่า ฮุน เซน หนึ่งในผู้นำที่ครองตำแหน่งยาวนานที่สุดในโลก จะสามารถคว้าชัยในการเลือกตั้งได้อีกสมัย โดยรัฐบาลกัมพูชาได้เตรียมความพร้อมและคุมเข้มการเลือกตั้งให้เป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย แม้จะเป็นที่รู้กันดีว่า ฮุน เซน ‘ไร้คู่แข่ง’ โดยสิ้นเชิง
ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีวัย 70 ปี ครองอำนาจในกัมพูชามาตั้งแต่ปี 1985 หรือกว่า 38 ปีมาแล้ว ถือเป็นหนึ่งในผู้นำที่ครองตำแหน่งยาวนานที่สุดในโลก เป็นรองเพียงแค่ผู้นำแคเมอรูนและอิเควทอเรียลกินีเท่านั้น (ซึ่งทั้งคู่เป็นผู้นำเผด็จการ)
ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในกัมพูชาเตรียมที่จะออกไปใช้สิทธิลงคะแนนเสียงในวันพรุ่งนี้ เพื่อจรดปากกาเลือกพรรคที่พวกเขาชื่นชอบ โดยเป็นการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 7 ของประเทศ แม้ ฮุน เซน จะเคยกล่าวว่า พรรคแคมโบเดียนพีเพิลส์ (Cambodian People’s Party: CPP) ของตนจะครอบงำและครองอำนาจนำในการเมืองกัมพูชาไปยาวนานกว่า 100 ปีก็ตาม
ก่อนหน้านี้ทางการกัมพูชาแบนพรรคฝ่ายค้านอย่างพรรคแคนเดิลไลต์ (Candlelight Party) ของ สม รังสี อดีตผู้นำฝ่ายค้านคนสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองกัมพูชา ที่วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ ฮุน เซน มาตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา โดยได้ตัดสิทธิห้ามพรรคการเมืองนี้ลงสมัครรับเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งหลายฝ่ายคาดการณ์ว่า การตัดสิทธิพรรคการเมืองในครั้งนี้อาจทำให้ ฮุน เซน สามารถกวาดคะแนนเสียงได้อย่างถล่มทลาย และชนะการเลือกตั้งทั่วไปได้อีกครั้งหนึ่ง
“เช่นเดียวกับเผด็จการทุกคน ฮุน เซน จะไม่มีวันสละอำนาจของเขา” มู สุจัว นักการเมืองชาวกัมพูชา ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นรัฐมนตรีกระทรวงกิจการสตรีและทหารผ่านศึกของประเทศ กล่าว โดยขณะนี้เธอได้ลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ
“การเลือกตั้งในวันที่ 23 กรกฎาคม เป็นเพียงวันที่ ฮุน เซน จะกำหนด (ทางเลือกของเขา) ให้กับชาวกัมพูชา” เธอกล่าว “นโยบายและการปฏิบัติที่ไร้ความปรานีของเขาในการกำจัดคู่แข่งทางการเมืองและนักวิจารณ์ ทั้งหมดก็เพื่อปกป้องอำนาจของตัวเอง และส่งต่อไปยังลูกชายคนโตของเขาในช่วงปลายเส้นทางอาชีพ”
เป็นเวลาเกือบ 40 ปีแล้วที่ ฮุน เซน ครองอำนาจในกัมพูชา โดยสำนักข่าว CNN รายงานว่า ในช่วงแรกที่กัมพูชาจัดการเลือกตั้งนั้น ประชาชนยังได้เห็นบรรยากาศของการขับเคี่ยวกันระหว่างพรรคต่างๆ รวมถึงฝ่ายค้าน แต่ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ฮุน เซน ได้ยกระดับความเป็นเผด็จการมากขึ้น โดยเขาได้ลงดาบปราบปรามผู้เห็นต่าง สั่งขังคุกคนที่วิพากษ์วิจารณ์ตนเอง และบีบให้นักเคลื่อนไหวทางการเมืองหลายคนต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ
นอกจากนี้เขายังค่อยๆ เดินหน้ากระชับความสัมพันธ์กับจีนมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังถูกรัฐบาลตะวันตกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ซึ่ง ฮุน เซน ก็กล่าวโทษว่า ชาติตะวันตกต่างหากที่เป็นฝ่ายช่วยเหลือฝ่ายค้านทางการเมืองของกัมพูชา
บริดเจต เวลช์ นักวิเคราะห์การเมืองกล่าวว่า “เรื่องน่าขันก็คือ ยิ่ง ฮุน เซน พยายามกุมอำนาจทางการเมืองไว้ในมือของตนเอง และขจัดความท้าทายทางการเมืองในประเทศมากขึ้นเท่าไร เขาก็ยิ่งเผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในต่างประเทศมากขึ้นเท่านั้น
“ความท้าทายที่เขาเผชิญก็คือ การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นจะไม่ถูกมองว่าเป็นการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย เพราะมันขาดความชอบธรรม หากไม่มีการเลือกตั้งที่แข่งขันกันได้อย่างแท้จริง รวมถึงสื่อเสรีและพื้นที่สำหรับภาคประชาสังคม กัมพูชาก็ไม่ถือว่าเป็นชาติประชาธิปไตย” เวลช์กล่าว
ที่ผ่านมานั้นพรรค CPP ของ ฮุน เซน พยายามชี้ให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมของพรรคการเมืองขนาดเล็กอีก 17 พรรค เพื่อเป็นข้ออ้างว่าการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นประชาธิปไตย เพราะมีการแข่งขันกันของหลายพรรค แต่ถึงเช่นนั้นกลุ่มสิทธิมนุษยชนและผู้สังเกตการณ์ทางการเมืองก็ได้คัดค้านอย่างหนัก เพราะพรรคฝ่ายค้านและบุคคลที่มีความโดดเด่นทางการเมืองรายอื่นๆ ต่างถูกตัดสิทธิไปหมดแล้ว ขณะที่หลายคนถูกสั่งจับเข้าคุกเสียด้วยซ้ำ
ขณะเดียวกันผู้สังเกตการณ์ทางการเมืองกล่าวว่า การเลือกตั้งกัมพูชาที่เตรียมจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ คือการปูทางสู่การเปลี่ยนถ่ายอำนาจจาก ฮุน เซน ไปยัง ฮุน มาเนต ทายาทของเขา
ฮุน มาเนต วัย 45 ปี เป็นบุตรชายคนโตของ ฮุน เซน ซึ่งรับราชการในกองทัพกัมพูชา และถูกคาดหมายว่าจะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากบิดา โดยเขามีประวัติชีวิตที่เพียบพร้อม ชายผู้นี้เติบโตและได้รับการศึกษาในกรุงพนมเปญ ก่อนเข้ารับราชการในกองทัพกัมพูชาปี 1995 ซึ่งในปีเดียวกันนั้นเขาได้เข้าโรงเรียนทหารสหรัฐอเมริกาที่เวสต์พอยต์ และอีก 4 ปีต่อมาก็กลายเป็นชาวกัมพูชาคนแรกที่สำเร็จการศึกษาจากสถาบันอันทรงเกียรติแห่งนี้
นอกจากนี้เขายังจบปริญญาตรี สาขาเศรษฐศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ในปี 2002 และมหาวิทยาลัยบริสตอล ในปี 2008
ส่วนทางด้านวิชาการ ฮุน มาเนต จบปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก (NYU) และปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยบริสตอล
ฮุน เซน เคยประกาศชัดเจนเมื่อปี 2021 ว่า ลูกชายของเขาคือ ‘ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนต่อไป’ ซึ่งในปี 2023 ฮุน มาเนต จะเปิดตัวบนถนนการเมืองอย่างเต็มตัว โดยคาดว่าเขาจะได้ที่นั่งในสภาในการเลือกตั้งวันอาทิตย์นี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม เวลช์กล่าวว่า ฮุน มาเนต จะต้องสร้างความชอบธรรมให้กับตนเองเสียก่อน จึงจะสามารถทาบรัศมีของผู้เป็นบิดาได้
“เขาจะต้องออกมาจากเงาของพ่อให้ได้และกำหนดรูปแบบการเป็นผู้นำของเขาเอง” เวลช์บอกกับ CNN “นี่เป็นสิ่งที่ท้าทาย เนื่องจาก ฮุน เซน จะยังคงเป็นบุคคลที่โดดเด่นในการเมืองกัมพูชา และยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเขาจะถอยออกจากเกมการเมืองนี้เมื่อใด”
ภาพ: Tomohiro Ohsumi / Getty Images
อ้างอิง: