วันนี้ (14 มีนาคม) อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แสดงความคิดเห็นต่อกรณีที่ตำรวจเข้าจับกุม ป้านา-วันทนา โอทอง โดยใช้กำลังเกินกว่าเหตุ ขัดขวางการแสดงออกทางการเมือง และมีการตั้ง 3 ข้อหาหนัก โดยอมรัตน์กล่าวว่า ตนเข้าใจความจำเป็นในหน้าที่รักษาความปลอดภัยของผู้นำ แต่การใช้กำลังรุนแรงปิดปาก ฉุดกระชากลากถูกับผู้หญิงสูงอายุคนเดียว ต้องถามว่าเป็นสิ่งที่เหมาะสมหรือไม่
ทั้งนี้ หาก พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำที่มีสติปัญญา ควรมีการซักซ้อมทำความเข้าใจกับทีมตนเองว่าเมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินควรมีแนวปฏิบัติอย่างไร ต้องมีการเจรจาพูดคุยทำความเข้าใจ และใช้มาตรการจากเบาไปหาหนักอย่างเหมาะสม ไม่ใช่ใช้มุมมองแบบทหาร มองเพื่อนร่วมชาติที่มีจุดยืนการเมืองคนละขั้วเป็นอริราชศัตรูแบบที่มองภัยจากภายนอกประเทศ
ส่วนประเด็นการตั้งข้อกล่าวหาหนักต่อป้านาว่าขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ตนอยากถามว่าการที่ พล.อ. ประยุทธ์ ไปตรวจราชการที่อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรีครั้งนี้ เป็นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีหรือใช้ตำแหน่งนายกฯ เป็นข้ออ้างไปติดตามงานเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตนเอง เพราะรู้กันอยู่ว่าบ้านโป่งเป็นเขตพื้นที่ ส.ส. ย้ายพรรคจากประชาธิปัตย์ไปซบพรรครวมไทยสร้างชาติของ พล.อ. ประยุทธ์
ส่วนประเด็นที่ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวถึงคนที่ชู 3 นิ้วว่าป่วย ให้ไปหาหมอ และมาเพราะต้องการอะไรสักอย่าง อมรัตน์ให้ความเห็นว่า พล.อ. ประยุทธ์ ก็รู้ว่าประชาชนที่มารอพบท่านมาเพราะต้องการอะไรบางอย่าง เลยต้องถามว่าเมื่อทราบแล้วในฐานะผู้นำเคยออกมารับฟังพวกเขาไหม และขณะกำลังจะเข้าสู่ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง พล.อ. ประยุทธ์ ก็ยังไม่เปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำ ทั้งที่มีบทเรียนอยู่แล้ว
“การที่นักการเมืองซึ่งเป็นบุคคลสาธารณะไปที่ไหนจะมีคนสนับสนุน เห็นด้วย คัดค้าน เป็นเรื่องปกติ แต่การใช้อำนาจปิดปากผู้ที่ออกมาแสดงออกเช่นนี้แสดงให้เห็นแล้วว่า พล.อ. ประยุทธ์ ไม่มีภาวะผู้นำในการจัดการเรื่องพวกนี้เลย วันนี้กำลังจะออกจากหมวกผู้นำเผด็จการมาลงสนามเลือกตั้งแล้วแต่ยังละนิสัยเดิมไม่ได้ จึงอยากถามว่าคนที่ไม่มีมีภาวะผู้นำแบบนี้สมควรเสนอตัวเองเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีหรือไม่” อมรัตน์ตั้งคำถาม
อมรัตน์กล่าวต่อไปว่า การแสดงออกเช่นนี้ของ พล.อ. ประยุทธ์ สะท้อนให้เห็นตัวตนของ พล.อ. ประยุทธ์ ที่ลุแก่อำนาจ เป็นผู้นำที่เผด็จการอำนาจนิยม มีลักษณะโอหังคลั่งอำนาจ ตรงตามญัตติพรรคฝ่ายค้านที่ได้เคยอภิปรายไม่ไว้วางใจ และคิดว่าเหตุการณ์แบบนี้จะต้องเกิดขึ้นอีกเรื่อยๆ จนถึงวันเลือกตั้ง
“ช่องคอมเมนต์คุณก็ปิด จะให้ประชาชนไปแสดงออกที่ไหน อยากให้เปิดช่องคอมเมนต์ ประชาชนจะได้ไม่ต้องมาตะโกน ในโซเชียลมีเดียคุณปิดช่องคอมเมนต์ ประชาชนพูดผ่านตัวแทนในสภาก็โดนประธานปิดไมค์ คิดหรือว่าจะใช้วิธีนี้สยบประชาชน แจ้ง 3 ข้อหาหนักเพื่อเชือดไก่ให้ลิงดู วิธีนี้ไม่ได้ผล เพราะความอึดอัดคับข้องใจทำให้วิธีการนี้จะไม่ได้ผลอีกต่อไป มีประชาชนจำนวนหนึ่งที่ก้าวข้ามความกลัวเพราะความคับแค้นที่สะสมมานาน การปกครองด้วยความกลัวใช้ได้ผลแค่ระยะหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ทุกคนจะสยบยอมกับอำนาจของ พล.อ. ประยุทธ์” อมรัตน์กล่าวทิ้งท้าย