อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน แสดงท่าทีเป็นครั้งแรกต่อสถานการณ์การประท้วงครั้งใหญ่ที่ลุกลามไปทั่วประเทศนานกว่า 2 สัปดาห์ โดยมีชนวนจากกรณีของ มาห์ซา อามินี หญิงชาวเคิร์ดวัย 22 ปี ที่เสียชีวิตหลังถูกตำรวจศีลธรรมในกรุงเตหะรานจับกุมเนื่องจากไม่สวมฮิญาบ
โดยคาเมเนอี วัย 83 ปี กล่าวถึงการประท้วงเพื่อแสดงความไม่พอใจและต่อต้านรัฐบาลและทางการอิหร่านว่าเป็นการก่อจลาจล พร้อมกล่าวโทษสหรัฐฯ และอิสราเอล ว่าอยู่เบื้องหลังสถานการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้น เพื่อพยายามหยุดความเจริญก้าวหน้าของอิหร่าน
“ผมพูดอย่างชัดเจนว่าการจลาจลเหล่านี้และความไม่มั่นคงนี้เป็นการออกแบบโดยสหรัฐฯ และระบอบไซออนิสต์จอมปลอม (อิสราเอล) และผู้ที่ได้รับเงินจากพวกเขา และชาวอิหร่านที่ทรยศในต่างประเทศบางคนได้ช่วยเหลือพวกเขา” คาเมเนอีกล่าว พร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตถึงความผิดปกติของการประท้วงที่เกิดขึ้นก่อนที่การสืบสวนจะเสร็จสิ้นว่า
“ในอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น หญิงสาวคนหนึ่งเสียชีวิต ซึ่งทำให้เราเจ็บปวดเช่นกัน แต่ปฏิกิริยาต่อการเสียชีวิตของเธอก่อนการสืบสวน (เกิดขึ้น) เมื่อบางคนมาทำให้ท้องถนนไม่ปลอดภัย เผาคัมภีร์อัลกุรอาน ถอดฮิญาบออกจากหญิงที่คลุมผ้า และเผามัสยิดและรถยนต์ของผู้คน นั่นไม่ใช่ปฏิกิริยาตอบสนองที่ปกติและเป็นไปตามธรรมชาติ”
ผู้นำสูงสุดของอิหร่านยังพยายามชี้ว่า การก่อความไม่สงบที่เกิดขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของต่างชาติเพื่อทำให้เสถียรภาพของอิหร่านสั่นคลอน โดยระบุว่า “จะพบข้ออ้างอื่นเพื่อบั่นทอนเสถียรภาพของอิหร่านอยู่ดี ถึงจะไม่เกิดกรณีการเสียชีวิตของอามินี” และชี้ว่าเป็นความพยายามที่จะหยุดอิหร่านจากความก้าวหน้า
“พวกเขารู้สึกว่าประเทศกำลังก้าวหน้าไปสู่อำนาจเต็มรูปแบบ และพวกเขาไม่สามารถทนต่อสิ่งนี้ได้” คาเมเนอีกล่าว
ขณะที่สหรัฐฯ เปิดเผยว่ากำลังพิจารณาคว่ำบาตรอิหร่านเพิ่มเติมจากกรณีการประท้วงดังกล่าว ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 133 คน ตามรายงานที่เปิดเผยโดยกลุ่มสิทธิมนุษยชนอิหร่าน (Iran Human Rights) ซึ่งทางการอิหร่านยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บจากการประท้วง
ภาพ: Photo by Pool / Iran’s Supreme Leader Press Office / Anadolu Agency / Getty Images
อ้างอิง: