เอ็กซองโพรวองซ์ เมืองหนึ่งในใจนักเดินทางเมื่อไปเยี่ยมเยือนฝรั่งเศสตอนใต้ เมืองที่สะท้อนความเป็นคนสบายๆ ได้แบบที่กลมกลืนกับนักเดินทางชาวไทย และแน่นอน ‘เอ็กซองโพรวองซ์’ ไม่ได้มีแค่ทุ่งลาเวนเดอร์หรือไวเนอรีที่มักเป็นภาพจำ ตัวเมืองเก่าขนาดพอเที่ยวครบในหนึ่งวันมีความสดใสร่าเริงเมื่อได้สัมผัส และหากลองได้มาแล้ว เชื่อว่าทุกคนหวังใจจะได้กลับไปพบความรื่นรมย์นั้นอีก
Aix en Provence
เอ็กซองโพรวองซ์ หรือเรียกสั้นๆ ว่า ‘เอ็ก’ เป็นเมืองหลวงของแคว้นโพรวองซ์ที่อยู่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส เมืองเก่าที่ตั้งขึ้นมาตั้งแต่ 123 ปีก่อนคริสตกาล และนับเป็นเมืองศิลปิน เมื่อเหล่านักคิดนักเขียนพากันมาพักผ่อนหย่อนใจที่เมืองนี้ ทั้งยังเป็นบ้านเกิดของศิลปินระดับโลกอย่าง ปอล เซซาน (Paul Cézanne)
เริ่มต้นท่องเที่ยวจากบริเวณวงเวียนน้ำพุ Rotonde Fountain จะสะดวกสบายมาก เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของกูร์มิราโบ (Cours Mirabeau) ถนนสายสำคัญของเมือง มีทั้งสำนักงานการท่องเที่ยว (Aix en Provence Tourist Office) และ Apple Store อย่างใหญ่ไว้เป็นจุดสังเกต บริเวณนี้เปิดเป็นฟลีมาร์เก็ตที่เดินเพลินอย่างยิ่ง ตลาดเปิดราว 8.00-13.00 น. ทุกวันอังคาร, พฤหัสบดี และเสาร์ โดยวันเสาร์จะเป็นวันที่ตลาดใหญ่โตเป็นพิเศษ สิ่งของที่วางขายก็มีตั้งแต่ของสด เห็ดต่างๆ ชีส ผลไม้ ของเก่า เสื้อผ้า สิ่งพิมพ์เก่าเก็บ และหนังสือหายากที่ชักชวนให้เงินในกระเป๋าเราออกเดินทาง
ลำพังการเดินเล่นเลือกซื้อผ้าพิมพ์ลวดลายงามๆ ชิมชีสสารพัดแบบ ดอกไม้สีสดๆ เต็มตะกร้า เห็ดทรัฟเฟิลสดๆ กองเป็นภูเขาย่อมๆ เดินตามเสียงเพลงแจ๊ซ คุ้ยแผ่นเสียง และเลือกภาพวาดเก่าเก็บก็แทบใช้เวลาได้ทั้งวัน บรรยากาศสดชื่นเอามากๆ เพราะผู้คนอัธยาศัยดี ใบหน้าก็เติมด้วยรอยยิ้มแบบที่ชาวสยามเมืองยิ้มรู้สึกดีตามไปด้วย
Monsieur Chou, Gallifet Art Center
บนถนนคาร์ดินัล (Cardinale) ในย่านเมืองเก่าของเอ็กมีร้านขนมเล็กๆ ชื่อว่า Monsieur Chou ขนมหวานในร้านมีทั้งเค้กผลไม้และเมอแรงก์ แต่ที่นับเป็นเจ้าหญิงของร้านต้องยกให้ ‘ชูครีม’ ที่มีหลายรสชาติ นอกจากรสมาตรฐานของทางร้านก็จะมีเมนูพิเศษสลับสับเปลี่ยนไปในแต่ละเดือน เช่นชูครีมรสออกเปรี้ยวอย่าง Lemon Meringue ที่กัดคำแรกก็รู้สึกสดชื่นได้ในทันที ชิ้นนี้คู่ควรกับแฮชแท็ก #อร่อยน้ำตาไหล
ลูอิก เดอร์เบย์ (Loic Derbay) เชฟและเจ้าของร้าน หรือที่รู้จักกันตามชื่อร้านว่า Monsieur Chou เป็นคนคิดสูตรและเมนูทุกอย่าง ทั้งยังเปิดเวิร์กช็อปสอนทำขนมอีกต่างหาก นอกจากชวนชิมและแนะนำแต่ละเมนู เขายังพาไปทำความรู้จักเพื่อนบ้านด้วยการไขประตูเหล็กที่อยู่ข้างในร้าน ประตูบานนั้นเปิดเชื่อมไปยังสวนของศูนย์ศิลปะ Gallifet Art Center ที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน
Gallifet Art Center เคยเป็นแมนชันส่วนตัวอายุนับร้อยปีที่เพิ่งเปิดให้เข้าชมในปี 2010 หลังจากนิโคลัส มาเซต์ (Nicolas Mazet) ทายาทของครอบครัวได้เปิดบ้านของเขาแก่ผู้รักศิลปะทั่วโลก นิโคลัสพาชมสวนที่อยู่ด้านหน้าอาคารซึ่งใช้เป็นบริเวณจัดแสดงงานศิลปะอยู่ด้วย ด้วยความที่เขาเคยไปใช้ชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่นหลายปี จึงซึมซับเอาความสุขและปรัชญาเซนมาใช้ในชีวิตและการทำงาน เราจะเห็นความเรียบง่ายในการจัดสวนและการจัดวางงานศิลปะรอบๆ บริเวณ
ใต้ร่มเงาไม้อายุร้อยๆ ปี เราจะเห็นงานประติมากรรม ‘Nager dans le bonheur’ หรือแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า ‘การว่ายน้ำที่แสนสุข’ ผลงานของ Diadji Diop ศิลปินชาวเซเนกัล ที่กลายเป็นภาพจำของแมนชันหลังนี้ตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2016
ก่อนจะไปถึง Caumont Centre d’Art สถานที่ไฮไลต์ของเมืองเอ็ก ใกล้ๆ กันมีตึกยีราฟให้แวะถ่ายรูปอยู่ด้วย ซึ่งก็คือตึกสีส้มที่ผนังอาคารหลุดลอกออกเป็นลายคล้ายยีราฟนั่นเอง
The Hotel de Caumont – Art Center
ฟรองซัวส์ โรลลองด์ เดอ โรวิล (François Rolland de Reauville) ตั้งใจสร้างแมนชันหลังนี้ขึ้นมาโดยให้โรเบิร์ต เดอ คอตต์ (Robert de Cotte) หัวหน้าสถาปนิกของพระราชวังมาช่วยออกแบบเพื่อให้แมนชันหลังนี้โดดเด่นจากแมนชันหลังอื่นๆ ในบริเวณเดียวกัน เริ่มสร้างในปี 1715
น่าเสียดายที่โรลลองด์เสียชีวิตลงก่อนที่แมนชันจะสร้างเสร็จ แต่งานก่อสร้างยังดำเนินต่อไปและสำเร็จลุล่วงในปี 1745 หลังจากนั้น ครอบครัวของโรลลองด์จำเป็นต้องขายแมนชันหลังนี้ให้กับ ฟรองซัวส์ เดอ บรูนีย์ (François de Bruny) นายธนาคารประจำเมืองมาร์กเซยผู้ร่ำรวย เขาได้เปลี่ยนชื่อแมนชันเป็น Hotel de Bruny และในภายหลังเมื่อแมนชันตกทอดไปถึงมือลูกชายของเขา แมนชันแห่งนี้ได้กลายเป็นสถานที่สำหรับสังสรรค์ของชนชั้นสูงและเศรษฐีผู้ร่ำรวยในเมือง จนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงในช่วงปฏิวัติฝรั่งเศส ท้ายที่สุดได้ตกทอดไปถึงมือของหญิงสาวร่วมตระกูล พอลลีน เดอ บรูนีย์ (Pauline de Bruny) เจ้าของคนสำคัญที่ทำให้บรรยากาศในแมนชันหลังนี้ยังคงความสมบูรณ์เหมือนครั้งที่เธอใช้เวลาตลอดชีวิตที่นี่
ตัวอาคารสร้างในศตวรรษที่ 17-18 ยุคที่รุ่มรวยทางศิลปวัฒนธรรมอย่างที่สุดอีกยุคหนึ่งของฝรั่งเศส นอกจากตัวอาคารหลักยังมีคอร์ตยาร์ดและสวนขนาด 1,000 ตารางเมตรที่จัดแต่งอย่างงดงาม บริเวณคอร์ตยาร์ดในปัจจุบันเปิดเป็นคาเฟ่และร้านอาหารอยู่ด้วย
ส่วนตัวอาคารหลักของ The Hotel de Caumont – Art Center แบ่งเป็น 3 ชั้น ชั้นล่างเป็นร้านหนังสือและขายของที่ระลึก มีสินค้าให้เลือกมากมาย รวมทั้งสินค้าที่ได้แรงบันดาลใจจากพอลลีน เดอ บรูนีย์ ทั้งเครื่องเขียน ครีมบำรุงผิว และเทียนหอม
บริเวณชั้นล่างจากโถงทางเข้าหลักจะพบกับบ่อน้ำพุเล็กๆ ที่แสดงความร่ำรวยและสูงศักดิ์ของบ้าน กลางโถงมองเห็นบันไดวนเพื่อนำขึ้นไปสู่ชั้นสองและสามที่ใช้เป็นบริเวณจัดแสดงนิทรรศการที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป ไม่ว่าจะเป็นนิทรรศการภาพวาดของ Sisley ศิลปินอิมเพรสชันนิสม์คนสำคัญของฝรั่งเศสที่จัดแสดงไปเมื่อเดือนตุลาคม หรือนิทรรศการ Botero Dialogue with Picasso ที่กำลังจัดแสดงงานภาพวาดที่เฟอร์นานโด โบเตโร อังกูโล (Fernando Botero Angulo) ศิลปินชาวโคลอมโบ ได้รับแรงบันดาลใจจากปิกัสโซ
Confiserie du Roy René
มาถึงช่วงสุดท้าย ของฝากจาก ‘เอ็กซองโพรวองซ์’ ขอแนะนำขนมจากร้าน Le Roy Rene ที่เปิดทำการมาตั้งแต่ปี 1920 ความน่ารักจนต้องอุดหนุนไปฝากคนทางบ้านก็เพราะเรื่องราวความเป็นมาของขนมสูตรพิเศษนี้เอง
ย้อนกลับไปในปี 1454 ก่อนวันแต่งงานของ ฌาน เดอ ลาวาล (Jeanne de Laval) กับกษัตริย์เรอเนแห่งอองฌู (Rene of Anjou) ปัญหาคือว่าที่พระราชินีของพระองค์ไม่ค่อยยิ้ม กษัตริย์จึงรับสั่งให้ห้องเครื่องเรื่องขนมของพระองค์คิดสร้างสรรค์ขนมหวานสุดพิเศษเพื่อราชินีคนใหม่ และในวันแต่งงาน เมื่อราชินีได้ลองชิมขนมหวานชิ้นนี้ก็ถึงกับยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะถามขึ้นว่านี่คือขนมอะไร สุดท้ายก็ได้คำตอบว่า ‘Di Calin Soun’ เป็นคำโบราณของโพรวองซ์ แปลว่า อ้อมกอดเล็กๆ นับจากนั้นขนมคาลิซง (Calisson) ก็ถือกำเนิดขึ้นมา และกลายเป็นขนมสัญลักษณ์ของเมืองนี้
ส่วนผสมประกอบด้วยอัลมอนด์บดละเอียด เมลอนจากแคว้นโพรวองซ์ และผิวส้ม อัดอยู่ในรูปทรงคล้ายใบไม้ หุ้มด้วยไอซิ่งแผ่นบางสูตรพิเศษ ทุกวันนี้มีหลายรสชาติให้เลือกสรร ไม่ว่าจะเป็นวอลนัตกับมะเดื่อ ขิงกับน้ำผึ้ง หรือที่เข้ากันอย่างไม่น่าเชื่ออย่างราสป์เบอร์รีกับชาเขียว
ทุกๆ ปีในวันเสาร์แรกของเดือนกันยายนจะมีเทศกาลเฉลิมฉลอง Blessing of the Calissons ที่ทำสืบเนื่องมาตั้งแต่ปี 1630 โดยเชฟผู้ทำขนมคาลิซงจะร่วมกันทำขนมเพื่อขอพรที่โบสถ์ St. John of Malta และเมื่อเสร็จพิธีแล้วจะนำขนมมาแจกจ่ายให้ชาวเมือง
นอกจากนี้เอ็กซองโพรวองซ์ยังเต็มไปด้วยตรอกเล็กซอยน้อยรอให้เราไปชื่นชม หรือเดินทางออกไปนอกเมืองเพื่อเยี่ยมชมบ้านของปอล เซซาน (Cézanne Studio) เที่ยวทุ่งลาเวนเดอร์พันธุ์พิเศษที่ไม่เหมือนที่ไหนๆ หรือใช้เวลาเดินสำรวจน้ำพุที่มีอยู่รอบเมือง
ว่ากันว่าทั่วทั้งเมืองเอ็กมีน้ำพุกว่าร้อยแห่ง และน้ำพุทุกแห่งมีเรื่องเล่า นี่คืออีกหนึ่งความโรแมนติกของเมืองที่ซุกซ่อนรายละเอียดให้ผู้ผ่านทางมาได้จดจำ คล้ายๆ กับความรู้สึกในวันที่อากาศสดใส และเราอยากจดจำให้มันอยู่อย่างนั้นไปนานๆ
- รถไฟความเร็วสูง หรือ TGV (Train à Grande Vitesse) เป็นการเดินทางระหว่างเมืองที่รวดเร็วและสะดวกสบายมาก มี Wi-Fi พร้อมร้านอาหารให้บริการ วิวสองข้างทางก็สวยงาม เพราะวิ่งผ่านภูมิภาคที่งดงามที่สุดอีกแห่งของฝรั่งเศส TGV เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 1980 จนถึงทุกวันนี้ เชื่อมต่อเมืองสำคัญๆ ในฝรั่งเศส ทั้งยังเชื่อมต่อไปยังประเทศอิตาลีและสเปนได้ด้วย โดยเส้นทางจากปารีส – ลีออง – มาร์กเซย ใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมง โดยมีสถานีรถไฟ TGV อยู่ที่เมืองอาวีญง, เอ็กซองโพรวองซ์ และมาร์กเซย สามารถตรวจสอบตารางการเดินรถ เช็กราคา และรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.voyages-sncf.com
- สายการบินกาตาร์ แอร์เวย์ส เปิดเส้นทางบินจากกรุงเทพฯ-นีซ โดยแวะพักที่สนามบินนานาชาติฮาหมัด กรุงโดฮา เส้นทางใหม่ที่เพิ่มความสะดวกสบายในการท่องเที่ยว โดยมีเที่ยวบินจากกรุงเทพฯ-โดฮา วันละ 5 เที่ยวบิน และจากโดฮา-นีซ สัปดาห์ละ 5 เที่ยวบิน รายละเอียดเพิ่มเติมหรือจองตั๋วเครื่องบินได้ที่ www.qatarairways.com/th #qatarairways