ในที่สุด Apple ก็เปิดตัว AirTag อุปกรณ์เสริมชิ้นเล็กที่เรียบหรูดูดีเพื่อช่วยติดตามและค้นหาสิ่งของสำคัญโดยอาศัยแอปฯ Find My จาก Apple ซึ่งไม่ว่าใครจะติด AirTag ไว้กับกระเป๋าถือ กุญแจ กระเป๋าเป้ หรือสิ่งของอื่นๆ AirTag ก็จะอาศัยเครือข่ายค้นหาที่กว้างไกลทั่วโลกเพื่อระบุตำแหน่งสิ่งของที่หายไป
ขณะที่โลกยังไม่รู้จัก AirTag ดี ทิม บาจาริน นักวิเคราะห์ชื่อดังฟันธงไว้แล้วบนเว็บไซต์ของ Forbes ว่า AirTag จะเป็นธุรกิจพันล้านตัวใหม่ที่อัดฉีดเงินมหาศาลสู่อาณาจักรธุรกิจ Apple
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะฐานผู้ใช้ iPhone ประมาณ 113 ล้านคนในสหรัฐอเมริกา และ 900 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งมีโอกาสที่จะเป็นลูกค้าซื้อ AirTag ไปใช้งานคนละหลายชิ้น
ผลงานการปฏิวัติตัวเอง
บาจารินมองว่า AirTag เกี่ยวข้องโดยตรงกับการปฏิวัติตัวเอกของ Apple เพราะในช่วง 40 ปีนับตั้งแต่คลุกคลีกับข้อมูลของ Apple มาตั้งแต่ปี 1981 ตัวเขาได้เห็น Apple เปลี่ยนจากการเป็นบริษัทคอมพิวเตอร์ ไปสู่บริษัทที่สร้างและส่งมอบผลิตภัณฑ์มากมายนอกเหนือจากระบบพีซีที่เป็นรากเหง้าดั้งเดิม
ที่เห็นได้ชัดคือ iPad และ Apple Watch ที่มี CPU และมีระบบประมวลผลเหมือนคอมพิวเตอร์ แต่มีรูปแบบฟอร์มแฟกเตอร์ที่แตกต่างกันมาก
iPad Pro ใหม่ที่มาพร้อมชิป M1 ซึ่งเปิดตัวในวันเดียวกับ AirTag
ความน่าสนใจคือ AirTag ตอกย้ำวิสัยทัศน์ของ Apple ยุคใหม่ ตรงนี้บาจารินอธิบายว่า ในขณะที่ผู้ก่อตั้ง Apple อย่าง สตีฟ จ็อบส์ ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งกับการพา iMac และคอมพิวเตอร์รุ่นอื่นออกสู่ตลาด
แต่เมื่อเวลาผ่านไป จ็อบส์กลับมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้นในเรื่องการเปลี่ยนรูปแบบคอมพิวเตอร์พีซีส่วนบุคคล จน Apple เปิดตัว iPod ในปี 2001
ความสำเร็จของ iPod ทำให้จ็อบส์เปลี่ยนชื่อ Apple เสียใหม่ โดยทิ้งภาพที่เคยสร้างในช่วง 24 ปีแรกของ Apple Computer มาเป็นบริษัทที่สร้าง ‘ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่คอมพิวเตอร์’ ทำให้เจ้าพ่อผลไม้กลายเป็นบริษัท Apple Inc. และยกเลิกการกำหนดชื่อคอมพิวเตอร์ทั้งหมด
สิ่งนี้เองที่บาจารินมองว่าเป็นการเริ่มปูทางให้ Apple สร้างธุรกิจระดับพันล้านดอลลาร์ตัวใหม่ได้อยู่เสมอ นับตั้งแต่ iPod เข้าสู่ตลาด Apple ได้สร้างผลิตภัณฑ์และบริการที่ประสบความสำเร็จจำนวนมาก ซึ่งชี้ให้เห็นว่า Apple มีความสามารถที่ไม่น่าเชื่อในการทำเงินหลายพันล้านจากสินค้าใหม่ที่เปิดตัว
แม้จะมีบางผลิตภัณฑ์ เช่น Cube และ HomePod รุ่นใหญ่ที่ไม่ปังเท่าที่ควร แต่ความล้มเหลวนี้แทบไม่มีน้ำหนัก เพราะ iPad, Apple Watch, AirPods, แอปฯ และบริการมากมายของ Apple ต่างก็ฮอตจนเป็นธุรกิจมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะธุรกิจแอปฯ และบริการเพียงอย่างเดียวก็คาดว่าจะทำรายได้ประมาณ 1 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2021 ซึ่งหากมีการแยกออกไปตั้งเป็นบริษัทใหม่ ธุรกิจนี้ก็จะเป็นบริษัทขนาดใหญ่มากที่ติดอันดับ Fortune 100 ได้สบาย
สินค้าใหม่ล่าสุดที่เชื่อว่าจะเสริมให้ Apple มั่งคั่งขึ้นไปอีกคือ AirTag อุปกรณ์ติดตามสิ่งของหรือแทรกเกอร์ที่คล้ายกับสินค้าอย่าง Tile
จุดต่างคือ AirTag มีขนาดเล็กกว่า มาพร้อมแบตเตอรี่แบบถอดได้ซึ่งเชื่อมต่อกับซอฟต์แวร์ Find My โดย AirTag จะทำให้ผู้ใช้สามารถใส่อุปกรณ์ไว้ในกระเป๋าสตางค์ กระเป๋าเงิน คล้องจักรยาน หรือรถยนต์ เพื่อติดตามและค้นหาผ่านแอปฯ Find My
แต้มต่อสำคัญคือ Apple มีอุปกรณ์มากกว่า 1 พันล้านเครื่องที่มีแอปฯ Find My อยู่แล้วในปัจจุบัน ดังนั้นเมื่อมีใครซื้อ AirTag ก็สามารถเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน Find My ที่มีอยู่เพื่อเริ่มใช้งาน AirTag ได้ทันที
ต่อยอดได้ตรงจุด
AirTag ถือเป็นการต่อยอดบนฐานพลังของแอปพลิเคชัน Find My ที่ไม่ธรรมดา เพราะสถิติล่าสุดชี้ว่าแอปฯ ‘ค้นหาของฉัน’ นี้เป็นหนึ่งในแอปพลิเคชันที่มีคนใช้มากที่สุดบน Mac หรืออุปกรณ์ iOS
บาจารินบอกว่าแม้แต่ภรรยาของเขายังใช้แอปฯ ค้นหาบน Apple Watch อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เพื่อค้นหา iPhone ที่เผลอไปวางผิดตำแหน่งอยู่ตลอดเวลา
คุณสมบัติอีกอย่างหนึ่งของ AirTag คือการใช้ถ่านกระดุมธรรมดาเหมือนเครื่องคิดเลข จึงสามารถเปลี่ยนได้ง่ายเมื่อแบตเตอรี่หมด ซึ่งข้อมูลจาก Apple ประเมินว่า ถ่านบน AirTag มีอายุการใช้งานประมาณ 1 ปี
หากลองคำนวณดูจะพบว่า AirTag ที่มีจำหน่ายในแบบแพ็ก 1 ชิ้น และ 4 ชิ้นในราคา 990 บาท และ 3,390 บาท ตามลำดับนั้น ขอเพียง Apple ขาย AirTag ได้ 35 ล้านชิ้นในปีแรก AirTag ก็จะเป็นสินค้าที่สร้างรายได้มากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์
แน่นอนว่าบาจารินมั่นใจว่า Apple จะทำได้สบาย เพราะนอกจากฐานอุปกรณ์มากกว่า 1 พันล้านเครื่องที่มีแอปฯ Find My อยู่แล้ว AirTag ยังมีจุดเด่นเรื่องการไม่มีค่าสมาชิกรายปีด้วย
Tile ลำบากแน่
ที่ผ่านมาอุปกรณ์ติดตาม Tile รุ่นพื้นฐานอย่าง Mate นั้นมีราคาเริ่มต้นที่ 24.99 ดอลลาร์ แต่ผู้ที่ต้องการฟีเจอร์พิเศษ เช่น บริการเปลี่ยนแบตเตอรี่ฟรี และบริการแจ้งเตือนอัจฉริยะเมื่อเผลอลืม Tile ไว้จนแบตฯ หมด ก็จะสามารถสมัครสมาชิกรายปีที่เรียกว่า Tile Premium ได้
สนนราคาเริ่มต้นของบริการสมาชิกคือ 2.99 ดอลลาร์ต่อเดือน หรือ 29.99 ดอลลาร์ต่อปี ซึ่งผู้ใช้สามารถอัปเกรดเป็น Premium Protect ด้วยราคา 99.99 ดอลลาร์ต่อปีเพื่อแลกกับการรับประกันชำระเงินคืนให้สูง 1,000 ดอลลาร์ต่อปี หาก Tile ตรวจไม่พบสิ่งของนั้น
โมเดลธุรกิจของ Tile จึงอาจต้องเปลี่ยนแปลงในเร็ววัน จุดนี้เชื่อกันว่า AirTag อาจมีอิทธิฤทธิ์ดูดฐานผู้ใช้ iOS ไปจนเกลี้ยง เพราะแทบจะไม่มีเหตุผลอะไรให้ลูกค้ากลุ่มนี้เลือกซื้อ Tile อีกต่อไป ดังนั้นฐานลูกค้าที่เหลือจึงเป็นกลุ่ม Android ซึ่งอาจมีกำลังซื้อไม่แรงเท่า
ที่สุดแล้ว AirTag จึงเป็นตัวอย่างล่าสุดที่สะท้อนความสามารถของ Apple ในการสร้างธุรกิจใหม่ระดับพันล้านดอลลาร์ และไม่ต้องสงสัยเลยว่าหาก Apple แจ้งเกิดแว่นตา AR หรืออุปกรณ์แจ่มแจ๋วอื่นเพิ่มเติม ก็จะมีโอกาสสูงมากที่สินค้านั้นจะกลายเป็นอีกหนึ่งธุรกิจมูลค่าพันล้านดอลลาร์ในช่วงปีแรกที่วางจำหน่าย
ในเมื่อผ่านพันล้านดอลลาร์ได้ฉลุยในปีแรก เม็ดเงินอีกหลายพันล้านถัดมาก็ย่อมมีโอกาสถูกอัดฉีดเข้าสู่อาณาจักรธุรกิจ Apple อีกหลายระลอกแบบไม่รู้จบ!
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง: