ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในทุกมิติของชีวิตมนุษย์ ‘ปัญญาประดิษฐ์’ หรือ AI ได้กลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการเปลี่ยนแปลงโลก ในแวดวงการศึกษาเอง การนำ AI เข้ามาใช้ในการเรียนรู้ไม่ใช่เพียงแค่การนำเทคโนโลยีมาเสริมบทเรียน แต่ยังหมายถึงการเปลี่ยนแปลงวิธีคิด วิธีสอน และวิธีเรียนรู้ในระดับรากฐานด้วย
ในประเทศไทยนั้น ระบบการศึกษากำลังเผชิญกับความท้าทายมากมาย ตั้งแต่ความเหลื่อมล้ำด้านโอกาสทางการศึกษา คุณภาพการเรียนการสอน ไปจนถึงความพร้อมในการผลิตกำลังคนที่ตอบโจทย์โลกอนาคต
คำถามสำคัญต่อมา แล้วจะใช้ AI เพื่อช่วยยกระดับการศึกษาไทยได้อย่างไร และจะทำอย่างไรให้เทคโนโลยีนี้กลายเป็นเครื่องมือที่สร้าง ‘โอกาส’ แทนที่จะสร้าง ‘ช่องว่าง’ ทางการศึกษา
ทำให้ในวันนี้ (9 มิถุนายน) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และบริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมเปิดตัวโครงการ ‘THAI Academy – AI in Education’ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ‘THAI Academy’ เพื่อยกระดับการพัฒนาทักษะด้าน AI ให้กับคนไทยกว่า 1 ล้านคนภายในปี 2568
โครงการนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการปฏิวัติระบบการศึกษาของประเทศไทย โดยมุ่งวางรากฐานและการเรียนรู้ทักษะแห่งอนาคตด้าน AI ให้กับคนไทยทุกช่วงวัย เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่สังคมยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ
รัฐบาลไทยมุ่งที่จะขับเคลื่อนประเทศไปสู่สังคมดิจิทัลที่มีศักยภาพในการใช้เทคโนโลยี AI อย่างทั่วถึงและยั่งยืนตามวิสัยทัศน์ของแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คือ การนำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
รัฐบาลมีเป้าหมายในการสร้างระบบนิเวศ AI ที่ทำงานเชื่อมโยงกัน โดยตั้งใจจะผลิตบุคลากรเฉพาะด้าน AI มากกว่า 30,000 คน และพัฒนาทักษะการใช้งานในประชาชนทั่วไปอย่างน้อย 10 ล้านคนภายในปี 2570 เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และลดความเหลื่อมล้ำในทุกมิติ
แผนการขับเคลื่อนนี้อยู่ภายใต้การดูแลของคณะกรรมการ AI แห่งชาติ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน พล.ต.อ. เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้นำนโยบายดังกล่าวมาสู่การกำหนดยุทธศาสตร์ด้านการศึกษา โดยเน้นการสร้างทักษะ ‘3+1 ภาษา’ ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาจีน ภาษาอังกฤษ และภาษาดิจิทัล เพื่อให้เยาวชนมีทักษะที่จำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตและการทำงานในยุคดิจิทัล การดำเนินงานนี้สอดคล้องกับ 5 เสาหลักของยุทธศาสตร์ AI แห่งชาติทั้ง 5 ด้าน
- การส่งเสริมจริยธรรมและกฎหมายด้าน AI
- การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล
- การพัฒนาศักยภาพบุคลากรและการศึกษา
- การวิจัยและนวัตกรรม AI
- การส่งเสริมการใช้ AI ในภาคเศรษฐกิจและสังคม
ทั้งนี้ มีเป้าหมายร่วมกันคือการยกระดับประเทศสู่การเป็นผู้นำในภูมิภาคด้านเทคโนโลยีและการเรียนรู้แห่งอนาคต
กระทรวงศึกษาธิการได้ต่อยอดแนวคิด ‘Anywhere Anytime Learning’ ผ่านแพลตฟอร์มการศึกษาระดับชาติ (National Digital Learning Platform: NDLP)โดยนำเนื้อหาเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์มาบูรณาการในรูปแบบที่กระชับ เข้มข้น และต่อเนื่อง
ในระยะแรกนี้โครงการมุ่งเน้นการสร้างทักษะให้กับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายกว่า 600,000 คนทั่วประเทศ รวมถึงพัฒนา NDLP ให้ทันสมัยยิ่งขึ้น ด้วยการนำ AI Chatbot และ AI Agent มาให้บุคลากรทางการศึกษาใช้งานเพื่อปรับบทเรียนให้เหมาะสมกับผู้เรียน
พล.ต.อ. เพิ่มพูน กล่าวว่า ความร่วมมือในโครงการ AI in Education นี้ไม่ใช่แค่การนำเทคโนโลยีเข้ามาเติมเต็ม แต่คือการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ ยกระดับทั้งผู้เรียนและผู้สอนทั่วประเทศ เชื่อว่า AI จะช่วยให้เด็กไทยเข้าถึงทักษะที่พวกเขาสนใจอยากเรียน ส่วนครูเองก็มีเครื่องมือที่พร้อมสนับสนุนให้การสอนมีคุณภาพ ทันสมัยและเท่าเทียม เพื่อให้ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลาอย่างแท้จริง
หลักสูตรที่รัฐบาลร่วมมือกับไมโครซอฟท์ดังกล่าว เปิดโอกาสให้นักเรียน-นักศึกษาและประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงการเรียนรู้ AI ได้ฟรี ตั้งแต่ระดับพื้นฐานไปจนถึงระดับสูง ภายใต้โครงการ Developer AI Skills Journey เพื่อเตรียมความพร้อมให้สามารถเข้าสู่อาชีพที่กำลังเติบโตในอนาคต เช่น วิศวกร AI นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล และผู้เชี่ยวชาญด้าน Prompt Engineering
นอกจากนี้ยังสนับสนุนการพัฒนาระบบ Micro-credentials ที่ช่วยให้นักศึกษาจากหลากหลายสาขาวิชาสามารถเลือกเรียนทักษะ AI ที่ตนเองสนใจ เพื่อพัฒนาความรู้และสะสมเป็นหน่วยกิตในรายวิชาศึกษาทั่วไป ผ่านแพลตฟอร์ม GETS ซึ่งได้นำเนื้อหาจากหลักสูตรของไมโครซอฟท์มาเป็นส่วนหนึ่งของระบบการจัดการเรียนรู้ โดยตัวอย่างหลักสูตร เช่น AI Skills for Everyone ที่วางรากฐานเกี่ยวกับความเข้าใจปัญญาประดิษฐ์สำหรับผู้เริ่มต้น หรือ Azure AI: Zero to Hero เพื่อการพัฒนา AI ในระดับสูง เป็นต้น
ด้าน ศ. ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีอย่างเต็มรูปแบบ การพัฒนากำลังคนจึงต้องทันกับความเปลี่ยนแปลง กระทรวง อว. มีบทบาทสำคัญในการปั้นคนไทยในระดับอุดมศึกษาให้มีทักษะที่ตลาดต้องการผ่านการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยไม่จำกัดอายุหรือสถานะทางการศึกษา ความร่วมมือในวันนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของระบบที่ทุกคนจะมีสิทธิ์เข้าถึงความรู้ใหม่ และสามารถกำหนดอนาคตของตัวเองได้
นอกจากนี้ กระทรวง อว. ได้จัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านการศึกษาทั่วไปและการพัฒนาทักษะข้ามสายงานในสถาบันอุดมศึกษา (GETS) ขึ้น เพื่อสนับสนุนและเสริมสร้างความเข้มแข็งของทรัพยากรบุคคลให้มีทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 และเป็นแพลตฟอร์มรองรับโครงการความร่วมมือนี้ต่อไปในอนาคต
สำหรับโครงการ THAI Academy ที่ไมโครซอฟท์ร่วมมือกับรัฐบาลไทยและพันธมิตรกว่า 35 องค์กร เพื่อพัฒนาทักษะ AI ให้กับคนไทย 1 ล้านคนภายในปี 2568 โดยมีโครงการย่อยและรายละเอียดกิจกรรมต่างๆ ดังนี้
- เพื่อขับเคลื่อนหน่วยงานภาครัฐให้ใช้ประโยชน์จาก AI: ร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบรายการ (ก.พ.ร.) และสำนักพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร. / DGA) พัฒนาทักษะ AI ให้ข้าราชการกว่า 100,000 คน รวมถึงจัดกิจกรรม ‘Tech for Gov – Next Gen Gov AI Training Program’ ให้บุคลากรจากภาครัฐทุกหน่วยงานเรียนรู้และนำเสนอแนวคิดการใช้ AI ให้เกิดประโยชน์
นอกจากนี้ยังร่วมมือกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน เสริมทักษะ AI ให้กับวิทยากรและข้าราชการกว่า 2,000 คน เพื่อกระจายความรู้สู่แรงงานไทยและผู้ที่กำลังมองหางานรวมกว่า 100,000 คน และร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ในการฝึกอบรมทักษะเฉพาะทางด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์และ AI ให้กับบุคลากร และตัวแทนจากองค์กรโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ รวม 368 คน ควบคู่ไปกับการจัดอบรมให้นักเรียนนักศึกษากว่า 10,000 คน
- ปลดล็อกศักยภาพ AI เพื่อภาคการศึกษา: ไมโครซอฟท์ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ พัฒนาทักษะ AI แก่บุคลากรครูไอที 5,855 คน และครูอาชีวศึกษา 1,000 คน ซึ่งจะถ่ายทอดความรู้ต่อไปยังนักเรียนกว่า 430,000 คน และนักเรียนอาชีวะ 82,250 คน รวมถึงจับมือกับสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) และศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) บรรจุเนื้อหาจากหลักสูตรพื้นฐานด้าน AI ของไมโครซอฟท์ไว้ในหลักสูตร AI Literacy สำหรับนักเรียนประถมและมัธยม
- เติมพลังให้ผู้ประกอบการเติบโตแบบติดปีกด้วย AI: โดยการร่วมมือกับสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย (DCT) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อเพิ่มความสามารถให้ผู้ประกอบการ SMEs ไทยกว่า 20,000 คน รวมถึงจัดงาน SMEs AI Skills Summit เพื่อแบ่งปันประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของผู้ประกอบการที่ใช้งาน AI ในองค์กร นอกจากนี้ ยังร่วมกับสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) สนับสนุนผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนในภาคการท่องเที่ยว ภายใต้โครงการพัฒนาทักษะ AI เพื่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
- เสริมโอกาสการเรียนรู้และทำงานให้ทั่วถึงและเท่าเทียม: ร่วมมือกับ depa เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาแรงงานสายเทคในด้าน AI โดยเฉพาะ และร่วมกับ BDE และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ฝึกทักษะ AI ให้กับทีมงานผู้ดูแลศูนย์ ICT Learning Center 1,722 แห่งทั่วประเทศ เพื่อกระจายความรู้ต่อไปยังประชาชนอีกกว่า 250,000 คน
ขณะที่ ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย กล่าวว่า วันนี้คือจุดเริ่มต้นของการวางรากฐานด้านการศึกษาที่แข็งแกร่ง โดยนำทักษะ AI มาให้เยาวชนไทยได้เรียนรู้อย่างทั่วถึง ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญในการเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ
ไม่ว่าจะเป็นการยกระดับทักษะภาษา การลดช่องว่างระหว่างผู้สอนและผู้เรียน รวมถึงส่งเสริมประเทศไทยให้ยกระดับจากการเป็นผู้ใช้งานไปสู่ผู้สร้างสรรค์ เพื่อพัฒนาศักยภาพครูด้วยทักษะ AI ตั้งแต่ระดับพื้นฐานและขั้นสูง และในอนาคต เรามีการวางแผนระยะยาวร่วมกันเพื่อสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ที่ยั่งยืนให้กับประเทศไทย
ไมโครซอฟท์ได้เปิดตัวแพลตฟอร์ม AI Skills Navigator ซึ่งรวบรวมหลักสูตรและเนื้อหาด้าน AI เป็นภาษาไทยจากไมโครซอฟท์รวมกว่า 200 หลักสูตร ตั้งแต่หลักสูตรขั้นพื้นฐานสำหรับมือใหม่ ไปจนถึงหลักสูตรเฉพาะทางสำหรับสายอาชีพและตำแหน่งงานเฉพาะทาง โดยผู้สนใจสามารถเรียนรู้ได้ที่ https://aiskillsnavigator.microsoft.com/th-th โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
นอกจากนี้ โครงการ THAI Academy – AI in Education ยังครอบคลุมถึงการพัฒนาทักษะ AI เพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา อุดมศึกษา อาชีวศึกษา ไปจนถึงการเรียนรู้นอกระบบ นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวง อว. ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาคลังหน่วยกิตกลาง (National Credit Bank System) ซึ่งจะเป็นระบบที่รวบรวมผลการเรียนรู้ในทุกช่วงวัยเข้าสู่ฐานข้อมูลเดียว และยังมีแอปพลิเคชัน Portfolio ที่จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถวางแผนเส้นทางการศึกษาและอาชีพของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
NDLP ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลระดับชาติที่ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ด้วยเนื้อหาที่รองรับทั้งผู้สอนและผู้เรียนให้สามารถเข้าถึงการเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา (Anywhere Anytime) และเป็นศูนย์กลางการจัดการความรู้ระดับชาติ เชื่อมต่อข้อมูลจากสถานศึกษาและสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ทั้งในและนอกระบบ
แพลตฟอร์มนี้ออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาหลักของทั้งครูและนักเรียน โดยครูจะได้รับการสนับสนุนผ่านเครื่องมือที่ช่วยลดภาระงาน และมีระบบที่ช่วยจัดทำแผนและสื่อการสอนที่ตรงกับหลักสูตรได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ส่วนนักเรียนก็สามารถเข้าถึงสื่อการเรียนรู้ที่หลากหลาย มีคุณภาพ เรียนได้ทุกที่ทุกเวลา แม้ในพื้นที่ที่มีอินเทอร์เน็ตจำกัด รวมถึงกำหนดเป้าหมายการเรียนรู้ที่ปรับแต่งได้เฉพาะบุคคล
NDLP ประกอบด้วย 5 โมเดลหลัก ได้แก่
- ระบบบริหารจัดการผู้ใช้งาน (UsMS)
- ระบบสนับสนุนครูผู้สอน (TeMS)
- ระบบสนับสนุนผู้เรียน (EdMS)
- ระบบบริหารจัดการการเรียนรู้แห่งชาติ (NLMS)
- ระบบบริหารจัดการเนื้อหาองค์ความรู้แห่งชาติ (NCMS)
ปัจจุบัน NDLP รองรับการเชื่อมต่อฐานข้อมูลจากระบบส่วนกลาง เช่น ระบบ DMC ที่มีข้อมูลนักเรียนกว่า 540,000 คน และระบบ HRMS ที่มีข้อมูลครูกว่า 59,000 คน รวมถึงข้อมูลสถานศึกษากว่า 1,000 แห่ง โดยสามารถเชื่อมต่อทั้งแบบอัตโนมัติและแบบ Manual
ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวง อว. และภาคเอกชนในการขับเคลื่อนการใช้ AI เพื่อการเรียนรู้ในสังคมไทย นอกจากนี้ทั้งสองกระทรวงยังมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรเทคโนโลยี มหาวิทยาลัย หรือภาคอุตสาหกรรม เพื่อร่วมกันพัฒนาการศึกษาอย่างเท่าเทียม และนำไปสู่สังคมดิจิทัลที่มีศักยภาพ
AI มีบทบาทอย่างไรต่อการศึกษาไทย
ในภาคการศึกษานั้น AI เพิ่งจะเริ่มมีบทบาทสำคัญทั้งกับครูและนักเรียนไม่นาน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โปรแกรมปัญญาประดิษฐ์โดยเฉพาะ ChatGPT ได้รับความนิยมในหมู่นักเรียนและนักศึกษาเป็นอย่างมาก เพราะสามารถช่วยสรุปเนื้อหาการเรียน อธิบายสิ่งที่เราไม่เข้าใจในห้องเรียนเพิ่มเติม และสามารถหาคำตอบในการบ้าน หรือแม้แต่ช่วยแปลภาษา
ครูผู้สอนก็ได้รับประโยชน์จากการใช้ AI เช่นกัน โดยสามารถช่วยสร้างสื่อการสอน ตรวจการบ้าน หรือสรุปผลคะแนนของนักเรียน ซึ่งช่วยลดภาระงานลงอย่างมาก ทำให้ในปัจจุบันเทคโนโลยี AI กลายเป็นเพื่อนสนิทที่ช่วยสร้างทางลัดในการศึกษาของทั้งผู้เรียนและผู้สอนให้สะดวกสบายมากขึ้น
ในขณะเดียวกัน หากพึ่งพา AI ในการทำงานมากเกินไป ก็จะทำให้ไม่เกิดการคิดและวิเคราะห์ด้วยตนเอง จนขาดการพัฒนาทักษะต่างๆ ที่จำเป็น รวมถึงขาดแรงจูงใจในการเรียนด้วยตนเอง เพราะเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์สามารถช่วยทำการบ้านได้ จึงไม่จำเป็นต้องตั้งใจเรียนหรือให้ความสำคัญกับผู้สอนมากนัก
ในประเด็นนี้ พล.ต.อ. เพิ่มพูน ชิดชอบ กล่าวว่า การใช้ AI จะเป็นเครื่องมือช่วยให้การเรียนการทำงานต่างๆ เร็วขึ้น แต่ก็ต้องมีทักษะกระบวนการพื้นฐาน เหมือนในอดีตที่เราเชื่อว่าถ้าให้เด็กใช้เครื่องคิดเลขเลยก็จะขาดทักษะ ซึ่งมันไม่ถูก ต้องสอนให้รู้กระบวนการ แต่ก็ต้องให้ใช้เครื่องคิดเลขได้ด้วยเพื่อให้งานเร็วขึ้น อย่าไปปิดกั้น
เกิดความเหลื่อมล้ำ?
แม้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์จะเริ่มมีบทบาททางการศึกษาและได้รับการส่งเสริมจากหลายๆ องค์กร แต่ในขณะเดียวกัน AI ก็อาจกลายเป็นปัจจัยที่เพิ่มความเหลื่อมล้ำในการศึกษาให้มากขึ้นด้วยเช่นกัน
ในประเทศไทยยังมีนักเรียนจำนวนไม่น้อยที่ไม่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะโรงเรียนตามพื้นที่ห่างไกล เช่น พื้นที่ต่างจังหวัดหรือบนดอย รวมถึงบางแห่งก็ยังไม่มีคอมพิวเตอร์ให้นักเรียนได้ใช้เรียนรู้เลยด้วย ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่สามารถนำ AI มาใช้ในการพัฒนาการศึกษาได้
ส่งผลทำให้เด็กนักเรียนในโรงเรียนเขตเมืองหรือโรงเรียนเอกชนมีข้อได้เปรียบในการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มากกว่า และความเหลื่อมล้ำนี้ยังขยายช่องว่างทางโอกาสในการศึกษาให้กว้างขึ้นอีกด้วย
โครงการ THAI Academy – AI in Education เปิดโอกาสให้นักเรียนหรือประชาชนทุกคนเข้าถึงการเรียนรู้ได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต แต่ในบางครอบครัวยังไม่มีแม้แต่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในการใช้เรียนรู้
นี่จึงอาจเป็นความท้าทายหนึ่งของโครงการความร่วมมือของรัฐบาลไทยและไมโครซอฟท์ ที่ต้องหาทางลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยีของประชาชน เพื่อให้แผนการพัฒนาการเรียนรู้ดังกล่าวเป็นไปได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียมสำหรับทุกคน
อ้างอิง: